การวางแผนภาษีเงินได้บุคลธรรมดา เป็นเรื่องที่คนมีรายได้น้อยไม่ค่อยให้ความสนใจสักเท่าไร นั่นเป็นเพราะความเข้าใจที่ผิดว่า ผู้ที่มีรายได้น้อยย่อมเสียภาษีน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “คนรวยเสียภาษีน้อย คนจนเสียภาษีมาก” เป็นข้อความที่น่าคิด จากหนังสือพ่อรวยสอนลูก เพราะสะท้อนให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน จะเป็นนักวางแผนภาษีที่ดี วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคในการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาฝากค่ะ เทคนิคมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย
อ่านเพิ่มเติม : ภาษีเรื่องง่ายๆ คำนวณเป็น วางแผนเป็นก็ช่วย ลดหย่อนภาษี ได้
การวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
-
การเลือกใช้ประโยชน์จากเกณฑ์เงินสด
การประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรมสรรพกรใช้เกณฑ์เงินสด ในการวางแผนภาษีโดยใช้ประโยชน์จากเกณฑ์เงินสด นั่นหมายถึง การเลื่อนกำหนดเวลาการรับเงินที่เป็นเงินได้พึงประเมิน ออกไปจากปีภาษีปัจจุบัน ก็จะสามารถลดภาระภาษีได้อย่างเช่น เลื่อนการรับเงินที่ได้ในปี 2558 ไปรับเงินในต้นปี 2559 แทน หากคาดว่าในปีถัดไปจะมีเงินได้น้อยกว่าปีนี้ ซึ่งจะทำให้ภาระภาษีลดน้อยลง เพราะภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดานั้น จะคำนวณจากเงินได้ที่รับมาแล้วเท่านั้น ก็หมายความว่า “คุณยังไม่ต้องเสียภาษีหากยังไม่ได้รับเงินสดมาจริงๆ”
-
ทำเงินได้ของคุณให้เป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย
เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น คุณสามารถตรวจสอบในมาตรา 42 ของประมวลรัษฎากร และกฎกระทรวงฉบับที่ 126 อย่างเช่น ดอกเบี้ยสลากออมสิน การฝากประจำประเภทออมทรัพย์ กำไรจากการขายกองทุนรวม ผลประโยชน์ที่ผู้ประกันตนได้จากการประกันสังคม และกำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
-
การเลือกใช้การหักค่าใช้จ่ายแบบหักเหมาตามประเภทเงินได้
เงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (5) (6) (7) (8) สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ โดยกำหนดเป็น “เปอร์เซ็นต์” ของเงินได้ อย่างเช่น 30%, 60%, 75% ฯลฯ โดยไม่มีเพดาน ทำให้ผู้มีรายได้มาก ก็สามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากตาม ต่างกับเงินเดือนของคุณที่หักเหมา 40% เหมือนกัน แต่มีเพดานไม่เกิน 60,000 บาท ทำให้คนที่มีเงินเดือนมาก ก็ต้องเสียภาษีมากตาม
นอกจากนี้ การหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา มีข้อดี นั่นก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีรายจ่ายจริงเท่าไหร่ เพราะกฎหมายให้หักเหมาได้แม้จะมากกว่ารายจ่ายจริงก็ตาม กรณีนี้ก็เช่นกัน คุณก็ต้องศึกษาว่าเงินได้ของคุณมีอะไรบ้าง ที่สามารถกำหนดให้เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (5) (6) (7) (8)
-
การหักค่าลดหย่อนตามกฎหมาย
การหักค่าลดหย่อนตามกฎหมายนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรต้องใช้ประโยชน์ให้สูงสุด เพราะเป็นตัวช่วยให้เงินได้สุทธิ เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีลดลง ปัจจุบันคุณสามารถหักค่าลดหย่อนได้หลายอย่าง เช่น
- ค่าซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- ค่าซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- ดอกเบี้ยกู้ยืม เพื่อซื้อบ้าน หักได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าเบี้ยประกันชีวิตหักได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
-
การกำหนดแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ
กฎหมายไทยกำหนดให้เก็บภาษีจากเงินได้ทุกชนิด ที่มีแหล่งเงินได้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะจ่ายเงินได้ดังกล่าวในประเทศไทย หรือไม่ และไม่ว่าผู้มีเงินได้จะอยู่ในประเทศใดก็ตาม ส่วนกรณีที่ผู้มีเงินได้มีแหล่งเงินได้นอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการได้จากการทำงานก็ดี เงินปันผลก็ดี ขายทรัพย์สินในต่างประเทศก็ดี ฯลฯ กฎหมายกำหนดไว้ว่า “ถ้าหากมีเงินได้ในต่างประเทศ และเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (กล่าวคือ อาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 180 วันในปีปฏิทิน) จะต้องเสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าว ก็ต่อเมื่อมีการนำเงินได้เข้ามาในประเทศไทยในปีเดียวกับที่ต้องเสียภาษี ดังนั้น กรณีที่คุณมีเงินได้จากต่างประเทศ คุณก็สามารถเลือกได้ 2 ทางเพื่อประหยัดภาษี นั่นก็คือ ตัวคุณต้องไม่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (คือต้องอยู่ในประเทศไทยน้อยกว่า 180 วันในปีปฏิทิน) และต้องไม่เอาเงินได้เข้ามาในประเทศไทยในปีที่เกิดเงินได้
-
การกระจ่ายหน่วยภาษี
เนื่องจากหลักเกณฑ์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นแบบอัตราก้าวหน้า ยิ่งเงินได้มาก อัตราภาษียิ่งสูง การกระจ่ายหน่วยภาษีเป็นหลาย ๆ หน่วย จะช่วยกระจ่ายเงินได้ ทำให้ลดภาระภาษีเงินได้ เพราะเงินได้ที่เกิดในแต่ละหน่วยภาษี จะเริ่มเสียภาษีในอัตราต่ำ และแต่ละหน่วยภาษีต่างก็ยังมีสิทธิหักค่าลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย การพิจารณาตั้งหน่วยภาษีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นฐานะคณะบุคคล หรือบริษัทก็อาจเป็นอีกแนวทางที่ใช้ในการวางแผนภาษีได้ การที่กฎหมายอนุญาตให้สามี ภรรยา สามารถแยกยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็จะเป็นอีกช่องทางในการกระจายหน่วยภาษีได้
-
การกระจายเงินได้ไปยังบุคคลที่มีเงินได้ต่ำกว่า
หากคุณมีเงินได้สูง กฎหมายกำหนดให้คุณต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราสูง สมมติว่า “คุณมีเงินได้สุทธิเกินกว่า 4 ล้านบาท เงินได้ทุกบาทที่คุณหาเพิ่มได้ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 35% ดังนั้น แทนที่คุณจะนำเงินได้นั้นมาเพิ่มเป็นเงินได้ คุณอาจนำเงินได้นั้นไปเป็นเงินได้ของคนอื่น อย่างเช่น พี่ น้อง ลูก ฯลฯ ซึ่งมีฐานเงินได้ต่ำกว่า มีฐานภาษีต่ำกว่าแทน ก็จะช่วยประหยัดภาษีได้อีกทางหนึ่ง
เทคนิคการวางแผนภาษีทั้ง 7 ข้อของเรา เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้คุณนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหาร หรือวางแผนภาษีของคุณเองเท่านั้น หากคุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้อง ก็จะทำให้คุณได้ผลประโยชน์จากการวางแผนภาษีอย่างมาก ดังนั้น คุณควรเริ่มวางแผนภาษีกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อลดภาระภาษีของคุณให้ลดลงได้บ้าง ขอให้โชคดีกับการวางแผนภาษีของคุณค่ะ