คนเราจะรวยเป็นเศรษฐีได้นั้น ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากโชควาสนา แต่เกิดจากการวางแผนที่ดีและนิสัยเกี่ยวกับการใช้เงินที่ทุกคนสามารถบ่มเพาะกันได้ มหาเศรษฐีระดับโลกมีมุมมองในการเลี้ยงลูกโดยรวมคล้ายกัน อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง จุดมุ่งหมายก็เพื่อเตรียมความพร้อม สอนลูกเป็นเศรษฐี ทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งเพื่อก้าวสู่จุดหมายได้และมีชีวิตที่พร้อมสมบูรณ์
คัมภีร์แห่งความมั่งคั่งที่เศรษฐีตัวจริงสอนลูกและควรทำตาม มี 7 ข้อ ดังนี้
1. ขยันอ่าน แสวงหาความรู้
คนรวยเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดชีวิตด้วยการอ่าน พวกเขาจึงสอนลูกให้มีนิสัยรักการอ่าน ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ แสวงหาแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อได้นำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจตลอดเวลา มีมุมมองและทัศนคติที่หลากหลาย ทำให้มองเห็นโอกาสทำเงินมากกว่าคนอื่น ใช้เงินทำงานให้ออกดอกออกผล เกิดแรงกระตุ้นให้อยากทำชีวิตให้ดีขึ้น และสร้างความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
2. มีเป้าหมายชัดเจน
พ่อแม่ทุกคนล้วนปรารถนาให้ลูกประสบความสำเร็จและมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ตนเองรัก เงินก็สำคัญ แต่ใช่ว่าเงินจะซื้อความสุขได้ทุกอย่าง เป้าหมายทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายชีวิตเท่านั้น เด็กจะเข้าใจได้ว่า คนรวยไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่ควรใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ
พ่อแม่สอนลูกให้คิดอย่างมีเป้าหมาย รู้สิ่งที่ต้องการก่อน แบ่งย่อยเป็นเป้าหมายเล็กตั้งระยะสั้นถึงระยะยาว กำหนดสิ่งที่ต้องทำรายวันเพื่อไม่ต้องเสียเวลากับสิ่งไม่จำเป็น สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเริ่มลงมือทำเพื่อก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
3. มีวินัยทั้งการทำงานและการเงิน
พ่อแม่สอนลูกให้ขยันทำงานและพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ มีวินัยทั้งการออมเงินและการลงทุน แม้รายละเอียดจะต่างกัน แต่โดยมากจะสอนว่าการออมเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องแสวงหาวิธีลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ถ้ารู้จักเก็บออมไม่ใช้เงินเกินตัวจนเป็นหนี้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ทั้งหมดเป็นสิ่งที่คนรวยสอนลูกเกี่ยวกับวินัยที่ต้องฝึกฝนจนกลายเป็นนิสัย
การออมเงินฝากสะสม จะได้ประโยชน์ของอัตราดอกเบี้ย แต่กว่าจะสร้างความร่ำรวยได้ต้องใช้เวลานาน พ่อแม่ที่ร่ำรวยจึงสอนให้ลูกรู้จักมองช่องทางลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างงาม เช่น การลงทุนในที่ดิน ทำธุรกิจ การลงทุนในตลาดหุ้นที่คำนวณความเสี่ยงจากการวิเคราะห์และการประมวลผลอย่างละเอียดและจะต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ ผลตอบแทนได้รับนั้นแตกต่างอย่างมหาศาล สามารถลดระยะเวลาสร้างฐานะเป็นเศรษฐีไปได้หลายสิบปี
4. รู้จักใช้เงิน ไม่ฟุ่มเฟือย
ลูกคนมีเงิน ไม่ได้มีชีวิตสุขสบาย ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” สอนให้ลูกเป็นคนธรรมดา อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิม นั่งรถประจำทางไปโรงเรียน อยากได้อะไรให้เก็บเงินซื้อเอง เขาสอนลูกว่าควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ทำในสิ่งที่รัก สอนว่าความสำเร็จในชีวิตคือการทำสิ่งที่ตัวเองรัก ทำออกมาดี และได้ทำสิ่งที่ตนเองรักทุกวัน
ทั้งนี้ เศรษฐีจำนวนไม่น้อยไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน ไม่ได้โชคดีเกิดมาบนกองเงินกองทอง จึงมักจะสอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงินที่หามาได้ ส่วนใหญ่ฝึกฝนการใช้ชีวิตอย่างสมถะ ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า รู้จักทำมาหากิน มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก คิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่หวังพึ่งพิงคนอื่น รวมทั้งมีนิสัยรักการแข่งขันและทุ่มเทเพื่อประสบความสำเร็จ
อ่านเพิ่มเติม >> ปลูกสำนึกการ ช่วยสังคม ปลูกนิสัยเศรษฐียุคใหม่ <<
5. ดูแลสุขภาพจริงจัง
คนรวยใส่ใจดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้ามีสุขภาพดีก็จะป่วยน้อยลง มีพลังกายในการทำงานหาเงินมากขึ้น เพราะเห็นว่าอาหารที่กินไปมีผลต่อชีวิต จึงพยายามเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้ลูก ฝึกนิสัยกินข้าวตรงเวลา กิน แต่ของมีประโยชน์ กินพอเหมาะเพื่อมิให้น้ำหนักเกิน ปรับลดอาหารขยะ หรือพวกฟาสต์ฟู้ดส์ที่ก่อโรคอ้วนและถึงโรคคนรวยต่าง ๆ นา ๆ
อาหารดีมีทั้งแพงและไม่แพง ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้รับประทานอาหารครบทุกหมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ครียดและอ่อนเพลียจากการทำงานหนัก
6. มีน้ำจิตน้ำใจเอื้ออารี
ค่านิยมของคนรวยคือการแบ่งปัน เผื่อแผ่ผู้อื่นที่ด้อยโอกาส เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเศรษฐีเงินล้นฟ้าอย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์และบิล เกตส์ สั่งสอนลูกให้มีจิตสาธารณะ ชอบช่วยเหลือสังคม คิดอย่างคนรวย แต่ไม่ใช้เงินอย่างคนรวย โดยเลี้ยงลูกให้เติบโตในบ้านหลังเก่าที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก เพื่อให้เห็นว่าการเป็นคนรวยนั้นไม่ใช่การใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเพื่อหน้าตา เพื่อเกียรติ
ครอบครัวที่มีความรักและความอบอุ่นเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อมีความสุขมากพอ ก็จะแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นได้ บางครั้งการมีเงินมากก็ไม่ได้สร้างความสุขมากนัก การแบ่งปันมีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตมากกว่าวัตถุสิ่งของ ให้ประสบการณ์ความสุขที่ดีและจดจำได้ฝังใจยาวนาน
7. ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่
ผู้ประสบความสำเร็จไม่เคยลืมครอบครัว ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน ความสำคัญของครอบครัวมาเป็นอันดับแรก เพราะรู้ดีว่า เงินมากแค่ไหนก็ซื้อความสุขแลกกับครอบครัวไม่ได้ จึงทุ่มเทเวลาดูแลให้ครอบครัวมีความสุข
เศรษฐีแท้จริงไม่ได้รวยน้ำใจต่อคนอื่นเท่านั้น แต่ยังดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ ช่วยแบ่งเบาภาระ และเลี้ยงดูยามแก่ชราด้วยความรักความห่วงใย พ่อแม่มักจะทำตัวอย่างที่ดีให้ลูก ๆ เห็น โดยส่งผ่านความคิดอันดีให้ลูกหลานเหลียวแลพ่อแม่ยามแก่ชราเช่นเดียวกัน แม้ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ ก็ขอให้เป็นคนดี ไม่ประพฤติเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ไม่ทำให้พ่อแม่เดือดเนื้อร้อนใจ อานิสงส์ของการดูแลพ่อแม่ผู้จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ เจริญก้าวหน้าในชีวิตและการงาน
ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากที่สุด การดูแลเอาใจใส่กันเป็นอย่างดีย่อมปลูกฝังสร้างนิสัยดีให้ลูก ฝึกวินัยให้ติดตัวไปตลอด การเลี้ยงดูที่ดีเป็นรากฐานของความคิดที่เป็นบวกและสร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับลูก ก่อให้เกิดแรงผลักดันและความกล้าเผชิญภายใต้การวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อต่อสู้กับอุปสรรค ความร่ำรวยจะสร้างฐานะตัวเองให้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้และพร้อมกับมีชีวิตที่มีความสุข จุดสำคัญคือ พ่อแม่จะต้องให้อิสระทางความคิดในการเลือกว่าเขานั้นมีความชอบความรักต่อสิ่งใด เขาอยากเป็นอะไร เพราะพื้นฐานที่มีความรักเป็นองค์ประกอบจะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน