สืบเนื่องจากตอนก่อนหน้าที่คุณยายบ่นๆเรื่องคนสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจ อะไรก็ต้องน้ำเงิน (หมายถึงใช้เงินซื้อทุกอย่าง) ซึ่งหากจำได้คุณยายสั่งไว้ว่า ถ้าวันไหนตายไม่ต้องบอกญาติเพราะไม่อยากให้จัดงานใหญ่โต เดี๋ยวจะหาว่าเอาซอง ซึ่งปัจจุบันการจัดงานศพมันเป็นแบบนี้จริงๆ ทุกอย่างต้องใช้เงินแม้กระทั่งค่าศาลาสวดศพที่สมัยก่อนวัดไม่คิด แต่ทุกวันนี้ในกรุงเทพแทบหาไม่ได้แล้วที่วัดไหนไม่คิดค่าศาลาสวดศพ
ซึ่งคุณยายและผู้เขียนได้มีประสบการณ์ทั้งจัดงานศพให้ญาติๆเอง และไปงานศพญาติๆหรือเพื่อนๆ มักจะเจอสิ่งที่เหมือนกันคือ ค่าใช้จ่ายในงานศพนั้นไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้จะเล่าให้ฟัง ด้วยความที่ญาติๆคุณยายยังอยู่ฝั่งสวนพระประแดงกันอยู่เยอะ ซึ่งบางบ้านยังคงรูปแบบการจัดงานตามอย่างคนรุ่นเก่าๆ คือ จัดอะไรก็ตามขอให้ใหญ่ไว้ก่อน แต่สมัยก่อนจัดงานใหญ่แค่ไหนก็ไม่เปลืองเหมือนสมัยนี้เพราะคนมีน้ำใจมาช่วยงานกัน ไม่ต้องจ้าง บางอย่างไม่ต้องซื้อ อย่าเช่น ของทำบุญต่างๆอาทิ อาหารเลี้ยงแขก เลี้ยงพระ หรือ ของทำสังฆทาน ญาติๆและเพื่อนบ้าน ต่างช่วยกันเอามาเพื่อร่วมบุญด้วยกัน ทำให้เจ้าภาพไม่หมดเปลืองกับค่าใช้จ่ายมากนัก แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้วต่อให้ญาติกันเอามาก็ยังมาคิดเงิน
ซึ่งงานล่าสุดของญาติคุณยายนั้นคือพี่สาวพ่อแม่เดียวกันเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ได้ตายจากไป แน่นอนว่าคุณยายต้องไปงานศพทุกวันและลูกๆทางฝั่งพี่สาวคุณยายนั้นตอนนี้ก็เหลือกันอยู่สองคนและทั้งสองคนคุณยายเลี้ยงมากับมือเอง ซึ่งต่างก็อายุเยอะและมีหลานๆหลายคน งานนี้ก็เหมือนงานรวมญาติ เพราะญาติหลายๆคนก็มาฟังสวดกันทุกคนวัน มานั่งคุยรำลึกถึงคนตายกันไล่เรียงหาญาติคนอื่นๆ ซึ่งทางลูกๆของพี่สาวยายนั้นเลือกจัดงานถึง 7 วันเพราะลูกๆแต่ละคนมีหน้าที่การงานดีแขกย่อมมาเยอะ อีกทั้งยังโทรบอกญาติๆอีกหลายคน จึงตั้งสวดถึง 7 วันเพื่อให้ญาติที่อยู่ไกลๆได้เดินทางมาร่วมงานได้ทัน ซึ่งงานนี้ผู้เขียนได้ตามคุณยายไปงานทุกวันด้วยเพราะต้องไปช่วยงานจัดของว่างเลี้ยงแขก ซึ่งมีพวกญาติผู้พี่จัดหาซื้อกันมาแต่ละคนก็ผลัดกันนำมา ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเพราะจัดงานกันเองงหาของเลี้ยงมากันเองไม่ได้จ้างก็ไม่น่าจะสิ้นเปลือง แต่มันก็มีจนได้เพราะแต่ละคนที่เอามานั้นต่างคิดเงินกัน งงกันไหมล่ะทั้งๆที่คนตายนั้นแม่ตัว แม่ผัว เป็นย่า เป็นยาย ของตัวเองแท้ๆ แต่พอเผาเสร็จก็มานั่งคิดค่าใช้จ่ายกัน ว่าใครจ่ายไปวันละเท่าไหร่ค่าของเลี้ยงเท่าไหร่ ทั้งๆที่ของเลี้ยงต่างๆที่นำมานั้นลูกๆหลานๆสนิทหากันมา แต่กลับเรียกเงินกัน ฟังดูแล้วน่าปวดหัวไม่น้อย
ซึ่งงานนี้คุณยายของผู้เขียนก็ช่วยออกเงินจัดงานไปด้วยเพราะเป็นพี่สาวแท้ๆของแก แกก็อยากมีส่วนจัดงานให้ครั้งสุดท้ายและไม่อยากได้เงินคืนเพราะแกตั้งใจให้ ซึ่งพอแกเห็นว่าบรรดาลูกๆหลานๆ มานั่งนับซองเอาเงินคืนค่าจัดงานกันแกถึงเสียใจและเอ่ยปากว่าไม่ต้องมาคืนให้ และไม่คิดว่าจะเป็นกันถึงขนาดนี้ ต่างคนต่างมีหน้าที่การงานที่ดีมีเงินใช้สบายๆถึงจะไม่รวยมากแต่ก็ไม่ลำบาก และเห็นจัดงานใหญ่โตหมดเงินไปหลักแสนเพราะคิดว่าตั้งใจทำให้คนตายมีหน้ามีตา จัดงานไม่ให้น้อยหน้าญาติๆ แต่ที่ไหนได้มาเคืองกันเพราะค่าใช้จ่ายในงาน ต่างคนก็มาแบ่งเงินจากเงินทำบุญแทนที่จะถวายวัดเป็นบุญให้คนตาย
คุณยายจึงสั่งกับผู้เขียนไว้ว่า ถ้าตายไม่ต้องบอกใครไม่ต้องจัดงานใหญ่มันเปลืองเหมือนงานพี่สาวแกเพราะไหนจะค่าโลงสวยๆที่สั่งมาก็ปาไป 5,000 บาท ค่าดอกไม้หน้าโลงก็เกือบหมื่น ค่าศาลาอีกคืนละ 500 ค่าของว่างเลี้ยงแขกทีบรรดาญาติๆสรรหามากันอีกคืนละ 2,000 -3,000 บาท ยังไม่รวมค่าอาหารเย็นของบรรดาลูกๆหลานๆที่มาทานมื้อเย็นกันที่วัดเพราะแต่ละคนเลิก
งานแล้วมากันเลยจึงให้สั่งอาหารเย็นมาไว้ทานกัน ญาติๆที่มางานบางคนก็มาทานที่วัดด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายก็เยอะพอสมควร แล้วยังมี ค่าอาหารเลี้ยงพระวันเผาอีกหมื่นกว่าบาท ค่าเตาเผา ค่าจิปาถะอื่นๆ ที่ผู้เขียนทราบเพราะบรรดาญาติๆมานั่งบ่นให้ฟังว่าแต่ละคนจ่ายอะไรไปเท่าไหร่ ใครออกมาออกน้อย งานนี้ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียบรรดาญาติผู้พี่จึงได้มาบ่นให้ฟังคนนี้บ่นที คนนี้บ่นที ได้แต่เป็นคนกลางซึ่งฟังแล้วปวดหัว ซึ่งทำให้คิดได้ว่าคนตายสบายกว่าคนอยู่ เพราะไม่ต้องรับรู้อะไรแล้ว คนที่จัดงานศพให้กลับต้องมานั่งทะเลาะกันเรื่องเงินใครออกมาออกน้อยทั้งๆที่คนตายก็เป็นแม่ เป็นย่า เป็นยาย แท้ๆ แถมจัดงานศพทีก็เปลืองเงินจริงๆอย่างที่คุณยายบอก
แถมคุณยายยังบอกอีกว่า “พวกแกไม่ต้องกลัวว่าฉันตายแล้วจะเปลืองเงินจัดงานศพฉัน ฉันเตรียมไว้แล้วมีแค่ไหนทำแค่นั้นไม่ต้องเชิญใคร ใครอยากมาก็มา เอาแค่ที่มีอยู่ตรงนี้พอฉันไม่อยากเป็นตัวต้นเหตุที่ให้พวกแกทะเลาะกันเหมือนงานพี่สาวฉัน จัดซะใหญ่โตเปลืองก็เปลืองแถมลูกหลานมานั่งบ่นเรื่องเงินว่า ตายไปแล้วก็ยังเปลือง แถมยังเป็นขี้ปากคนอื่นว่าจัดงานเอาซองฉันไม่เอานะแบบนี้” เด็ดไหมล่ะนี่ล่ะคุณยายของผู้เขียน