ตลอดช่วงปี 2558 สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองของไทยประสบกับปัญหาและประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ จำนวนมากถึงความสามารถของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ในช่วงครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2558 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า รัฐบาลมีการผลักดันงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อวางแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมในช่วงปี 2558-2559 ด้วยวงเงินสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท และเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา งบประมาณการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่วางไว้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 20-25% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าในช่วงต้นปีแรกของ 2559 หากการดำเนินการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะมีการลงทุนในกลุ่มโครงการเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และรวมถึงการลงทุนในการขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า ดังจะเห็นได้จากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงเส้นทางฉะเชิงเทรา-แก่งคอย ซึ่งครอบคลุมเส้นทางจากภาคตะวันออก โดยคาดว่าจะส่งผลดีต่อการค้าในพื้นที่จังหวัด ดังความเห็นของประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทราที่เชื่อมั่นว่าการมีรถไฟรางคู่นอกจากจะช่วยด้านการขนส่งคมนาคมแล้วยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ต่อเนื่องไปถึงการปรับตัวที่สูงขึ้นของราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดด้วย อีกทั้งยังช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทราลงให้เหลือน้อยกว่า 1 ชม.
อ่านเพิ่มเติม >> วิเคราะห์แนวโน้มการ ลงทุนตามเส้นทางรถไฟฟ้า ตอนที่ 1 <<
นอกจากเส้นทางรถไฟรางคู่สายตะวันออกแล้วยังมีแผนก่อสร้างโครงการรถไฟรางคู่ สายชุมทางจิระ-ขอนแก่น โครงการปรับปรุงท่าอากาศยานจังหวัดตาก และจังหวัดยะลา เช่นเดียวกันกับการสร้างเส้นทางขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือ ทั้งในส่วนของท่าเรือแหลมฉบัง และยังมีโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง การพัฒนาเส้นทางการคมนาคมเหล่านี้ช่วยทำให้การขนส่งสินค้าออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านได้รับประโยชน์มากขึ้น ด้วยต้นทุนการขนส่งที่ถูกลงและเวลาที่ใช้ในการขนส่งลดลงทำให้ส่งผลทางบวกต่อต้นทุนขอการผลิตสินค้าและทำให้การกระจายสินค้าจากผู้ผลิตสู่มือผู้บริโภคได้รวดเร็ว สร้างความได้เปรียบจากการแข่งขัน และนำไปสู่ผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2559 ซึ่งด้วยมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 ตามแผนการลงทุนพบว่ามีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 142,000 – 148,500 ล้านบาทซึ่งเป็นอัตราการปรับตัวที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านถึงร้อยละ 25-30
ในจำนวนมูลค่าเงินลงทุนข้างต้นยังพบว่าภาครัฐมีการวางแผนจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางต่าง ๆ เพื่อต่อเติมระบบการขนส่งมวลชน ทั้งนี้โครงการที่อยู่ในแผนการก่อสร้างของช่วงต้นปี 2559 ได้แก่ เส้นทางรถไฟสายสีชมพูเส้นแคราย-มีนบุรี สายสีส้มในเส้นทางศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี และสายสีเหลืองซึ่งเชื่อมต่อเส้นทางถนนลาดพร้าวจนถึงสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ทั้งนี้เมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าดำเนินการแล้วสำเร็จจะส่งผลต่อการปรับตัวของราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่งในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังพบว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากการก่อสร้างรถไฟฟ้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ยกตัวอย่างเช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู มีการประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้วที่ร้อยละ 18 โดยเป็นอัตราที่สูงกว่าการกำหนดไว้แต่เดิมที่ร้อยละ 12 ตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนจึงน่าจะเป็นปัจจัยชี้วัดถึงผลได้ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ แต่อย่างไรก็ตามพึงต้องพิจารณาถึงการปรับตัวสูงขึ้นของราคาที่ดินและการเวนคืนจากประชาชนด้วย ซึ่งปัจจุบันพบว่าทะลุสูงขึ้นไปแล้วถึง 2 เท่าจากที่ประมาณการณ์ไว้
ทั้งนี้ความเห็นของภาคเอกชนที่มีต่อแผนการลงทุนของรัฐบาลในปีหน้า พบว่าด้วยการส่งเสริมการก่อสร้างและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดว่าอยู่ในข่ายได้รับการสนับสนุนเป็นอันดับต้น ๆ นั้น ความเห็นจากตัวแทนในภาคอุตสาหกรรมเห็นว่าเมื่อมีการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ กลุ่มอุตสาหกรรมรายย่อยได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐหลัก ๆ คงไม่พ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมีซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใช้วัตถุดิบในการก่อสร้าง เช่น ปูนซิเมนต์ เหล็กเส้น เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เป็นต้น และยังส่งผลในการกระตุ้นให้เกิดการจ้างแรงงานในพื้นที่เพื่อการก่อสร้าง ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในกลุ่มจังหวัดนั้น ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามเป้าหมายของรัฐในการเร่งลงงบประมาณลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือการสนับสนุนมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ล้วนเป็นไปเพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนให้ความสนใจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นมาตรการจูงใจเพื่อให้สนใจลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ความต้องการของภาครัฐในการผลักดันสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอาจบรรลุได้ยาก หากภาคเอกชนยังชะลอการตัดสินใจลงทุน ซึ่งหนึ่งในความเห็นจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้ว่า แม้รัฐบาลจะออกแคมเปญสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างไร แต่การเลือกลงทุนของภาคเอกชนยังคงต้องอาศัยการพิจารณาจากอีกหลายปัจจัย ทั้งแรงงานที่มีศักยภาพ เครือข่ายวัตถุดิบในพื้นที่ หรือแม้แต่การย้ายเครื่องจักรในการผลิตซึ่งล้วนเป็นประเด็นในการย้ายฐานการผลิตทั้งสิ้น ทั้งหมดล้วนต้องใช้เวลาในการพิจารณาไม่สามารถตัดสินใจอย่างเร่งด่วนได้