เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีเหตุผลในการลา ออกจากงานกะทันหัน แม้บางคนอาจจะหางานใหม่ยังไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ยอมตกงาน เพราะที่จะต้องลาออก อาจจะเป็นเพราะแรงกดดัน จากนายจ้าง จากเพื่อนร่วมงาน หรือจากงานที่ถูกเอาเปรียบเกินไป หรือแม้แต่กลับมาดูแลคนในครอบครัวสารพัดเหตุผลที่จะต้องทำให้รีบออกจากงาน โดยที่มีแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ ด้วยความคิดแบบลาออกฉับพลันเช่นนี้ ทำให้อาจจะเกิดความเครียดในการมองหางานใหม่ เกิดความเครียดเมื่อกลับมาอยู่บ้านแล้วไม่มีเงินใช้เหมือนเดิม แถมยังต้องประหยัดให้มากขึ้น บางคนกลับมาเป็นภาระให้กับพ่อแม่อีก
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เงินก้อนที่ได้มาอย่าเพิ่งรีบใช้ หรือรีบนำไปลดหนี้ เพราะคนส่วนใหญ่จะคิดว่าหลังออกจากงาน วิธีที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการจัดการเงินก้อนนี้ก็คือการรีบเอาเงินไปปลดหนี้ เพื่อลดภาระของดอกเบี้ย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนที่คุณต้องออกจากงานอย่างเร่งด่วนก็คือ การจัดสรรเงินให้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามปกติ และเพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ได้ตามระยะเวลากำหนดนั่นเอง
จัดการกับเงินออมหลังออกจากงาน
ซึ่งหากมีเงินก้อนออกมา ก็อย่าเพิ่งผลีผลามนำเงินไปใช้จ่าย ควรเก็บเป็นเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน คุณต้องมานั่งคิดออกมาให้ได้ว่า จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ และค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือชำระบัตรเครดิตในแต่ละเดือนเท่าใด แล้วต้องกันเงินสำรองส่วนนี้ให้ได้ก่อน เพื่อเป็นหลักประกันว่าในยามว่างงานคุณนั้น จะยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติไปอีกอย่างน้อยประมาณ 6 ถึง 8 เดือนหรือจนกว่าจะได้งานใหม่ ซึ่งหากกันเงินส่วนนี้แล้วยังมีเงินก้อนเหลืออีก จึงค่อยพิจารณาว่าจะนำไปลงทุนหรือทำอะไรได้บ้าง เพราะความจริงในช่วงที่หลายคนตกงาน และอยู่ในช่วงหางานใหม่สถานการณ์แบบนี้ ควรจะมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเผื่อไว้อย่างน้อย 6 เดือนถึงหนึ่งปี โดยอาจจะเก็บเงินในรูปของเงินฝากธนาคาร หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อกันเก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินหรือเก็บเป็นเงินออมในระยะสั้น
มองหางานใหม่จะต้องขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
เมื่อต้องออกจากงานประทันหัน สิ่งแรกที่หลายคนจะต้องทำหลังจากแยกเงินเก็บ ก็คือ การเร่งหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด แต่ข้อเสียของการได้งานใหม่ เพราะคิดว่างานอะไรก็ได้ ขอให้ได้งานจะได้เงินเร็วๆ แต่อาจจะทำให้กลับกลายเป็นว่า แม้ได้งานใหม่แต่อาจทำได้ไม่นาน เพราะยังไม่ใช่งานที่ชอบหรือไม่เหมาะกับตัว ทำไปก็ไม่มีความสุข เชื่อเถอะว่าน้อยคนนักที่จะได้ทำงานที่ตนเองชอบหรือถนัดจริงๆ ซึ่งการจะประเมินว่าคุณเหมาะจะทำงานที่หนึ่งได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุผลของความพอใจไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของการทำงาน รายได้ และ ผู้ร่วมงาน เพราะหากคุณชื่นชอบและภูมิใจในงานที่ทำ และตำแหน่งที่ได้รับ บวกกับความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ รวมถึงจำนวนเงินที่ได้รับ อย่างสม่ำเสมอของรายได้ และเพื่อนร่วมงานทั้งเจ้านาย ลูกน้อง รวมถึงบุคคลนอกบริษัทที่ต้องติดต่อประสานงานด้วย เรียกว่าหากสามข้อนี้ผ่านและทำให้พอใจก็จะสามารถทำงานได้อย่างยาวนาน
ช่องทางการหางานใหม่
ในวิกฤติย่อมมีโอกาสและอย่ามัวรอช้า ควรจะมองหางานใหม่ทันทีไม่ต้องรีรอ เพราะช่องทางการสมัครงานมีหลากหลายมากซึ่งสามารถผ่านเว็บไซต์ของบริษัทต่างๆ หรือเว็บไซต์ของบริษัทจัดหางาน รวมถึงไปตามออกบูธของบริษัทจัดหางานตามศูนย์ประชุม แต่ก็ควรคอยดูจังหวะติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวการเปิดรับสมัคร เพราะคุณจะมีโอกาสได้เข้าและจอกับพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง และหากมีข้อสงสัยของลักษณะงานจะได้สอบถามให้เข้าใจ หลายแห่งอาจจะมีการสอบข้อเขียนก่อนการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งหากคุณพร้อมและสนใจเกี่ยวกับงานด้านไหน ก็ควรจะยื่นใบสมัครไว้ก่อน อย่ายื่นแบบอะไรก็ได้ ตำแหน่งอะไรก็ได้เพราะหากเรียกตัวขึ้นมา แต่คุณไม่พร้อมหรือไม่ชอบ มันก็จะทำให้เสียเวลา ควรยื่นสมัครงานในตำแหน่งที่ถนัดหรือชอบดูก่อน ส่วนงานอื่น อาจจะเป็นตัวสำรอง
ในเวลาที่หางานไม่ได้จริงๆ รวมถึงการสมัครงานบนเว็บไซต์ ที่ควรจะนำเรซูเม่มาอัพเดท การทำงาน ว่าล่าสุดคุณทำงานทำอะไร อยู่ในตำแหน่งไหน และมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร หรือวุฒิการศึกษาเปลี่ยนรึเปล่า เรียนอะไรเพิ่มมา ทุกอย่างที่คุณอัพเดทข้อมูล จะทำให้มีผลต่อการสมัครงานและการเรียกตัวอย่างมาก เพราะมีทักษะที่น่าสนใจ ส่วนรูปถ่ายปัจจุบันก็สำคัญ ปรับลุคให้ดูทันสมัยหรืออาจจะถ่ายใหม่ก็ได้เช่นกัน เพราะรูปก็บ่งบอกถึงลักษณะบุคลิกได้เช่นกัน และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ข้อมูลครบ อย่างประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงาน ต้องทำให้บริษัทรู้จักคุณให้มากที่สุด โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญต่างๆ อย่างประสบการณ์ ความสำเร็จของงานในอดีตเพื่อบอกว่าคุณมีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งงานที่สมัครมากเพียงใด ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องการคนที่เข้าไปแล้วทำงานได้ทันที และใช้เวลาการเรียนรู้งานให้น้อย
ใช้เวลาที่เหลือพัฒนาตัวเอง
ในช่วงเวลาที่ตกงาน ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองที่อาจจะหาโอกาสไม่ได้ เพราะหากคุณยังทำงานประจำอยู่ แต่ในระหว่างหางานใหม่และเพื่อไม่ให้ปล่อยเวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ควรจะใช้เวลาช่วงนี้ทำการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะทักษะในเรื่องของ การสื่อสารในภาษาต่างประเทศ หรือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกได้ว่ากลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานทุกอย่าง หรือจะไปอบรมสมัครเรียนคอร์สพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านวิชาชีพ การอบรมหลักสูตรต่างๆและสอบใบอนุญาตต่างๆ ที่คุณคิดว่าจำเป็นต่อการทำงานในอนาคต ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงเวลาว่างที่ไม่ควรปล่อยให้เปล่าประโยชน์ โอกาสในการหาความรู้เพิ่มเติมนั้นถือว่ามีอยู่ฟรีและเต็มไปหมด หมั่นเติมทักษะใหม่ๆ ให้ตนเองเพื่อความทันสมัย หรือเข้าเรียนภาษาให้คล่องมากขึ้น
ยังมีช่องทางกรหางานอีกมากมาย หากคุณไม่ท้อ และหมั่นเติมความรู้ให้กับตัวเองเรื่อยๆ รวมถึงการมองหาอาชีพเสริมที่อาจจะไม่ต้องลงทุนมากเกินไป ระหว่างรองาน ก็จะทำให้คุณได้อาชีพและเงินที่เพิ่มขึ้น ดีกว่าปล่อยตัวเองให้อยู่ไปวันๆ อย่างไร้ค่าก็ได้