นายอาทิตย์ นันวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยกรณีบริษัท คาสิโน กรุ๊ป ค้าปลีกรายใหญ่สัญชาติฝรั่งเศส ประกาศขายหุ้นบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ธุรกิจค้าปลีกในไทยที่ถืออยู่ 58.6% มูลค่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท) ยอมรับว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทยสนใจประมาณ 2-3 ราย และเข้ามาปรึกษาถึงโอกาสทางธุรกิจจากการเป็นเจ้าของกิจการบิ๊กซี
ถือว่าเป็นข่าวที่น่าสนใจมากพอสมควร เพราะ บิ๊กซี เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของไทย และคนไทยส่วนมากคิดมาตลอดว่า บิ๊กซี เป็นหนึ่งในเครือของ เซ็นทรัล เพราะมักเปิดสาขาในบริเวณเดียวกัน แต่จริงๆแล้วเป็นกิจการของกลุ่มทุนต่างชาติที่ชื่อว่า บริษัท คาสิโน กรุ๊ป ค้าปลีกรายใหญ่สัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งที่มาที่ไปนั้น วิเคราะห์ระบุว่า คาสิโน กรุ๊ป ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก โดยเฉพาะในละตินอเมริกา จำเป็นต้องมีการลดหนี้ด้วยการ ขายหุ้นกิจการ โดยคาสิโน กรุ๊ป เลือกที่จะขายกิจการในไทยทั้งที่ผลประกอบการเติบโต เพราะค้าปลีกในไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จึงน่าจะขายหุ้นได้ในราคาที่สูงและสามารถนำเงินไปหมุนในกิจการอื่นของบริษัทได้
แต่ในอีกมุมหนึ่งมีการวิเคราะห์ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการถอนทุนออกจากประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ส่วนหนึ่งเนื่องจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตลาดเกิดใหม่ยังไม่พร้อมเท่าที่ควร อาจไม่รองรับการขยายธุรกิจและการแข่งขันของนักลงทุนข้ามชาติในระยะยาวได้ ก็เป็นจุดสังเกตที่มีแนวโน้มความเป็นไปได้เพราะค่าครองชีพบ้านเราสูงขึ้น การจับจ่ายใช้สอยมีการเปลี่ยนพฤติกรรมกันมากขึ้น ผู้คนสนใจซื้อสินค้าที่มีราคาถูกจากแหล่งขายอื่นๆนอกเหนือจากซุปเปอร์สโตร์ เช่น ตามตลาดนัด ตลาดออนไลน์ หรือใช้ของมือสอง การใช้จ่ายจะจริงจะจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งจะเน้นของที่จำเป็นเท่านั้น และเลือกแต่ของลดราคา เพราะฐานประชากรในบ้านเราอยู่กลุ่มที่มากที่สุดคือ คนใช้แรงงาน หรือคนระดับล่าง–กลาง ซึ่งถือว่าเป็นลูกค้าหลักของกิจการซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างบิ๊กซี หรือห้างอื่นๆ
แม้ว่ายอดขายจะยังไม่ลดลงแต่แนวโน้มคงไม่สูงขึ้นมากไปกว่าปัจจุบันนัก อีกทั้งเรื่องของค่าแรงพนักงานที่นับวันจะสูงขึ้นน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้กลุ่มทุนของบิ๊กซี ถอนกำลังออกจากกิจการนี้ และจากการวิเคราะห์ของนักการตลาดที่กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการถอนทุนออกจากประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย นั้นน่าจะมีเปอร์เซ็นต์สูงเพราะก่อนหน้านี้หลายๆกิจการถอนหรือลดกำลังการผลิตในโรงงานที่เป็นสาขาในบ้านเราไปหลายแห่งแล้วเช่น LG ที่ย้ายไปตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาโดยไปลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านของเรา นอกจากนี้ทางกลุ่มญี่ปุนเองก็ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นกลุ่มค่ายรถยนต์ดังที่มีฐานการผลิตในบ้านเรา ออกมาเปรยๆว่ายอดขายรถยนต์ในบ้านเราเริ่มมีแนวโน้มลดลง รวมถึงยอดรวมจากหลายๆประเทศทำให้กำลังการผลิตต้องลดลง แต่การจ้างแรงงานยังเท่าเดิม ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปแนวโน้มการลดคนงานตามโรงงานผลิตรถยนต์อาจมีเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของประชาชนในปีนี้ยังมองไม่ชัดว่าจะใช้จ่ายเงินกันในระดับไหนบางส่วนที่มีหนี้ค้างเก่าก็เริ่มประหยัดกันมากขึ้น คนที่มีฐานะก็เริ่มลดการฟุ่มเฟือยลง ด้วยจากปัญหาต่างๆภายในประเทศ กลุ่มแรงงานที่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าในเรื่องของการขอปรับขึ้นเงินเดือน จะมีแต่เพียงนโยบายการขึ้นเงินเดือนภาครัฐออกมาแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่ค่าครองชีพนั้นก็มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงไปบ้างแล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบในภายภาคหน้าได้ ก็คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าทิศทางเศรษฐกิจในบ้านเราจะไปทางไหน