ถ้าโลกนี้ไม่มีอินเตอร์เน็ต เป็นคำถามจั่วหัวที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าตายแล้วไปไหน หรือมนุษย์เกิดมาทำไม เรา ๆ ท่าน ๆ เองคงนึกภาพไม่ออกว่าถ้าโลกนี้ไม่มีอินเตอร์เน็ตแล้ว โลกจะหมุนไปได้อย่างไร มันจะหมุนช้าลงหรือไม่ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ รวมถึงสังคมเสมือนบนคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ แล้วเกมซิมล่ะ มันจะสนุกเหมือนออนไลน์เล่นกับเพื่อนหรือเปล่า
หากจั่วหัวมาอย่างนี้รับรองว่าใครได้ยินได้ฟังก็คงคิดไปใหญ่โต เกิดคำถามหลายแง่มุมหลากมิติ เยอะแยะมากมายเสียจนจัดกลุ่มคำถามเป็นหมวดหมู่ไม่ได้ เพราะเพียงแค่คิดเล่น ๆ ว่าถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต แล้วเราจะแชทไลน์ยังไง จะส่งไฟล์ผ่าน Messenger ยังไง แล้วจะทำงานได้ยังไงอีเมล์ไม่มี ต้องเปลืองค่าโทรศัพท์มือถือทุกครั้งต้องสอบถามข้อมูลเรื่องงานหรือนี่ เราควรต้องขอเงินเดือนขึ้นหรือเปล่าค่าโทรศัพท์แพงขนาดนี้ แล้วเวลานัดกับเพื่อนเราจะนัดกันยังไงดี ต้องนัดเวลาและสถานที่สินะ เพราะไอน์สไตน์เคยบอกว่าวัตถุใด ๆ จะอยู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ณ เวลาเดียวกันไม่ได้ แสดงว่าถ้าเรานัดเพื่อนที่พิกัดโลก รุ้งแวงลิปดาฟิลิปดาก็ต้องชัดเจนไม่พลาดเลยสินะ ไม่อย่างนั้นนัดคลาดกันแย่เลย ถ้าอย่างนั้นออกไปซื้อเข็มทิศกับแผนที่ดวงดาวก่อนดีกว่า…เริ่มไปกันใหญ่แล้วจริง ๆ ด้วย
จริงอยู่ที่อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนโลกของเราไปทุกอย่าง กระแสอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (Internet of Thing) ก็ยังมาแรงและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หมายความว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้ตู้เย็นของเราจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตคอยตรวจสิ่งที่พร่องในตู้เย็น และสั่งซื้อของสดออนไลน์ได้โดยที่เราไม่ต้องทำเอง ถึงเวลาเพียงรับของแล้วจ่ายเงินเท่านั้น หากแต่อินเทอร์เน็ตไม่ได้เปลี่ยนทุกสิ่งได้ บางอย่างก็มีจิตวิญญาณของมันอยู่ เช่นความไม่สมบูรณ์ของแผ่นเสียงไวนิลที่เล่นผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงแอนะล๊อกแปลสัญญาณไฟฟ้าเป็นเสียงออดิโอแบบโมโน มันจะยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ไม่มีอะไรไปสามารถเปลี่ยนมันได้ เพราะจิตวิญญาณของคนฟังเขารื่นรมย์กับความไม่สมบูรณ์นั้นนั่นเอง บางครั้งเบื้องหลังความไม่สมบูรณ์นั้นมีบางอย่างเป็นเหตุให้เกิดความไม่สมบูรณ์ ที่ซึ่งเจ้าของแผ่นเสียงแผ่นนั้นรู้แต่เพียงคนเดียว และการฟังแผ่นเสียงที่ไม่สมบูรณ์นั้น เปรียบกับการได้อ่านบันทึกส่วนตัวที่ใครก็ไม่อาจเข้าถึงได้
แต่ถ้าจะมองกันจริง ๆ ยุคอนาล็อก มีอะไรดีล่ะ ในเมื่อก่อนยุคดิจิทัลโลกเราก็หมุนด้วย ยุคอนาล็อกมาก่อน
ถ้าไม่มีดิจิทัลก็คงไม่มีอินเทอร์เน็ต เพราะอินเทอร์เน็ตส่งข้อมูลที่เป็นอนาล็อกที่ไม่ได้รับการแปลงเป็นดิจิทัลก่อนไม่ได้ การแปลงจากเสียงเพลงจาก ยุคอนาล็อกเป็นดิจิทัลแล้วฟังเพลงผ่านไอพอด อาจทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ถึงแม้จะต้องแลกกับคุณภาพเสียงที่ไม่เต็มร้อยก็ตามแต่ก็สามารถมีเพลงหนึ่งหมื่นเพลงในกระเป๋า แทนเป็นแผ่นเสียงหนึ่งพันแผ่น กับห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา 2 นิ้ว จากตัวอย่างที่ยกมาอาจเห็นได้ว่าแอนะล๊อกนั้นมีเสน่ห์เฉพาะตัวของมันที่ไม่อาจลบไปได้ คนรุ่นใหม่ที่ตื่นเช้าทุกวันด้วยการปลุกของนาฬิกามือถือ คงไม่เข้าใจนาฬิกาปลุกหัวเตียงเสียงสนั่นที่ปลุกแต่ละครั้งดังจนหัวใจไปกองกับพื้นด้วยเหตุที่คิดว่าเป็นไฟไหม้
ชีวิตใน ยุคอนาล็อก นั้นต่อเนื่อง ลื่นไหล เป็นเหตุเป็นผล ไม่ก้าวกระโดด คำว่ารีบเร่งในยุคอนาล็อกนั้นเทียบความเร็วไม่ได้เลยกับความเร่งรีบในยุคดิจิทัล การใช้ชีวิตบางช่วงให้ปล่อยไปตามกระแสแอนะล๊อกอาจทำให้คนเป็นมะเร็งกันน้อยลง เพราะชีวิตอนาล็อกนั้น ต่อให้รีบก็รีบไม่ได้ เนื่องจากต้องรออะไรบางอย่างให้ผ่านพ้นไปเสียก่อน การรู้จักรออย่างอดทน อาจถูกมองว่าโง่และเสียเวลาในยุคดิจิทัล แต่การรออย่างที่รู้ความเป็นไปของสิ่งที่รอด้วยความอดทน ย่อมให้ผลของการรอกำเนิดเกิดความสุขได้มากกว่า จิตใจก็ผ่องแผ้วด้วยความสุขนั้นอยู่กับคน ๆ นั้นได้ยาวนานกว่าในความทรงจำ การได้อะไรง่าย ๆ เช่นการหาข้อมูลหนังสักเรื่องที่ชอบด้วยการค้นข้อมูลในกูเกิ้ล และหาคำตอบได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เทียบอะไรไม่ได้เลยกับการแต่งตัวเดินออกจากบ้านไปหน้าปากซอย หาหนังสือสตาร์พิคแล้วยืนหลบสายตาแม่ค้าอ่านคอลัมน์หาข้อมูลหนังที่ชอบ
ความสุขและอรรถรสของการได้ข้อมูลนั้นย่อมแตกต่างกัน เพราะการเสิร์จกูเกิ้ลนั้นง่ายเหลือเกิน ไม่มีมิตินอกเหนือจากการหาข้อมูลและได้ข้อมูล แต่ใครจะรู้บ้างว่าการเดินออกจากบ้านไปหาแผงหนังสือเพื่อหาข้อมูลครั้งนั้น ขากลับเดินเหยียบขี้หมากลับบ้าน ฟังดูแล้วมันไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีตรงไหนเลย ไหนจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงออกจากบ้าน แถมยังต้องเหยียบขี้หมาอีก ตรงนี้มันไม่ดีหรอก แต่ตรงที่ดีคือชีวิตเรามีมิติมากขึ้นไปกว่าเดิม คือทุกครั้งที่นึกถึงหนังเรื่องนี้ เราก็จะมีเรื่องให้นึกถึงคือความโชคร้ายของเราในวันนั้นที่เหยียบขี้หมาไปเต็มรักเพื่อหาข้อมูลหนังเรื่องนี้ มันสามารถนำมาเป็นเรื่องเล่าขบขันในบางแง่มุมที่เซอะเปิ่นของเราได้อย่างที่กูเกิ้ลไม่สามารถมอบประสบการณ์นี้แก่เราได้เลย
ชีวิตยุคอินเทอร์เน็ตนั้นรวดเร็วไร้พรหมแดน ชีวิตแบบอนาล็อกนั้นช้ากว่ามาก ทั้งสองสิ่งเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วย่อมไม่ตายไปได้ง่าย ๆ เพราะทั้งอนาล็อกและดิจิทัลต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกใช้ชีวิตในบางช่วงบางจังหวะอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะอนาล็อกหรือดิจิทัล สามารถทำให้ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างเป็นสุข และมีฮาร์โมนี่มากกว่าการเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าอะไรดีกว่าอะไร จะหาเหตุผลไปทำไมในเมื่อทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกันบนโลกนี้มาตั้งนานแล้วด้วยความสุขสงบ มนุษย์เราเองต่างหากที่เพิ่งรู้ว่าใช้งานอะไรจากมันได้บ้าง