เราทุกคนรู้ดีว่า ในปัจจุบันนี้งานประจำนั้นจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในแต่ละเดือน ยิ่งสำหรับใครที่ทำงานประจำเกี่ยวกับหน่วยงานข้าราชการ รัฐวิสาหกิจด้วยแล้ว ก็หมดห่วงเลยว่าเงินเดือนที่จะได้รับในแต่ละเดือนนั้นจะน้อยลงหรือว่าจะไม่ได้รับเงินเดือน แต่สำหรับใครที่ทำงานกับบริษัทก็อาจจะได้รับเงินตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามเงินเดือนที่เราได้รับเหล่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้เรานั้นรู้สึกว่ารวยมากยิ่งขึ้นสักเท่าไหร่ งานประจำบางงานก็ทำให้มีเงินใช้เพียงเดือนชนเดือน ต้องอาศัยเทคนิคในการออมเงินถึงจะทำให้ตัวเองมีเงินเก็บ หรือสำหรับใครที่ทำงานประจำมานาน จนได้รับเงินเดือนที่มากขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่นั้นก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ตัวเองรวยได้สักที แต่ไม่ต้องห่วง เรามีเทคนิคดีๆสำหรับคน อยากรวยแต่ทำงานประจำ ที่จะช่วยให้รวยถึงแม้ว่าจะทำงานประจำนะ
อ่านเพิ่มเติม : รู้จักตัวเอง ทำงานประจำ VS เป็นนายตัวเอง
ในหนึ่งวันของเรา แน่นอนว่าเราจะใช้เวลานี้ไปกับกิจกรรมต่างๆที่เราต้องทำ และคนส่วนใหญ่ก็มักจะมีกิวัตรที่ค่อนข้างแน่นอนและตายตัวก็คือ ตื่นนอน ไปทำงาน กลับมาบ้าน แล้วก็พักผ่อน ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อและดูแล้วจะไม่มีรายรับทางอื่นนอกจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งถ้าหากว่าจะทำงานอื่นๆเสริม เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีรายได้รับเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องแบ่งช่วงเวลาที่พักผ่อนออกมาใช้ไปกับงานรายได้เสริม ซึ่งมันก็ทำให้เราเหนื่อยมากขึ้นเลยนะ แล้วจะดีกว่าหรือเปล่าล่ะถ้าหากเราเลือกที่จะลงทุนกับอะไรสักอย่างที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ โดยเรามีแนวทางดังนี้
แบ่งเงินเป็นสัดส่วน เพื่อความสามารถในการลงทุน
เงินที่เราจะนำไปลงทุนนั้น ต้องไม่ทำให้สภาพการเงินภายในครอบครัวของเราทรุดตัวเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น โดยเราสามารถสร้างกองเงินสำหรับการลงทุน โดยหักออกจากเงินเก็บหรือแบ่งออกจากเงินสำรองที่เรามีอยู่ แต่ก่อนที่เราจะสร้างกองเงินสำหรับการลงทุนนั้น เราก็ควรจะมีเงินสำรองเอาไว้ใช้สำรองรายจ่ายในครอบครัวเสียก่อนนะ เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องใช้เงิน จะได้ไม่กระทบถึงสภาพทางการเงินของเราสักเท่าไหร่นัก
วางแผนว่าจะลงทุนในรูปแบบไหน
สำหรับใครที่ทำงานประจำ ก็อาจจะไม่สามารถที่จะลงทุนทำธุรกิจอื่นๆได้มากสักเท่าไหร่ ฉะนั้นแล้วกองทุนที่เราควรจะเลือกลงทุน ก็ควรจะเป็นกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ โดยที่เราไม่ต้องพยายามและออกแรงมากเท่าไหร่นัก โดยเรามีกองทุนให้เลือกลงทุนดังนี้
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ผลประโยชน์ = เงินลดหย่อนภาษีจากค่าซื้อหน่วยลงทุน + ส่วนสมทบจากนายจ้าง + มูลค่าเพิ่มจากการดำเนินงานของกองทุน
- กองทุนรวม LTF
ผลประโยชน์ = เงินลดหย่อนภาษีจากค่าซื้อหน่วยลงทุน + มูลค่าเพิ่มจากการดำเนินงานของกองทุน
- กองทุนรวม RMF
ผลประโยชน์ = เงินลดหย่อนภาษีจากค่าซื้อหน่วยลงทุน + มูลค่าเพิ่มจากการดำเนินงานของกองทุน
- ประกันชีวิต
ผลประโยชน์ = เงินลดหย่อนภาษีจากการชำระค่าเบี้ยประกันในแต่ละปี + เงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา
การลงทุนจากกองทุนต่างๆเหล่านี้รวมไปถึงการลงทุนเป็นประกันชีวิต จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถลดหย่อนภาษีได้เป็นอย่างดี ทำให้เรามีเงินเก็บจากการจ่ายภาษีที่น้อยลง และยังมีเงินปันผลจากกองทุนหรือประกันชีวิต ที่เราซื้อไว้ด้วย
เลือกลงทุนตามความเหมาะสมของเรา
เราทุกคนล้วนรู้ดีว่า การลงทุนมีอยู่หลากหลายรูปแบบ และในแต่ละรูปแบบนั้นก็จะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างเช่นกัน โดยรูปแบบไหนที่มีการลงทุนที่เสี่ยงมาก ก็จะมีผลตอบแทนที่สูงมากเช่นกัน แต่ไม่ว่าอยากไรก็ตาม การนำเงินของเราไปลงทุน ก็ยังดีกว่าให้นอนกองอยู่กับการฝากเงินบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 0.5% ไว้เฉยๆนะ ซึ่งเราสามารถเลือกเส้นทางการลงทุนได้ดังนี้
- เงินฝากประจำ
เป็นช่องทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนไม่น้อยเลยล่ะ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 1-2.5 % ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการฝาก
- กองทุนรวม
เหมาะอย่างมากกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการลงทุนมากนัก โดยผลตอบแทนและความเสี่ยงมีหลายระดับขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ลงทุน
- หุ้น
หุ้นก็ยังแบ่งได้เป็น 2 ประเภทก็คือหุ้นระยะสั้นกับหุ้นระยะยาว ซึ่งใครที่ชอบวิเคราะห์ มีความรู้ในการเลือกซื้อหุ้นอยู่แล้วและรวมถึงรู้จังหวะในการซื้อขาย การลงทุนเป็นหุ้น เป็นอะไรที่เหมาะมากเลย
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
เพราะเป็นการลงทุนที่มากจากการซื้อที่ดิน ผ่อนคอนโดเพื่อให้ผู้อื่นเช่า จึงเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนที่สูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ต้องมีความรู้ในเรื่องทำเลและระดับราคา แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจนะ (อ่านเพิ่มเติม)
วางแผนการลงทุน
ถ้าหากเราเลือกที่จะลงทุนในกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็น LTF ,RMF กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น หรือแม้แต่การซื้อหุ้น เราอาจใช้วิธีถัวเฉลี่ยหรือที่เราเรียกกันว่า DCA (Dollar Cost Averaging) เพื่อกระจายความเสี่ยงในด้านการผันผวนของราคา รวมถึงการสร้างวินัยในการลงทุน โดยการกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่แน่นอนในแต่ละเดือน อย่างเช่น ซื้อกองทุน LTF เดือนละ 1,000 บาท ลงทุนใน RMF เดือนละ 1,000 บาท ซึ่งถึงแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ไม่มากที่สุดสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นวิธีที่เหมาะสมอย่างมากเลยล่ะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาถึงกองทุนและเหมาะกับภาวะตลาดหุ้นผันผวนด้วยนะ