คิดกันดีหรือยังที่ อยากซื้อรถสักคัน จะซื้อรถไว้ใช้สักคัน หรือจะยอมอดทนกับการเดินทางที่บางครั้งก็เหนื่อยแสนเหนื่อยเหลือเกินกว่าไปถึงที่ทำงาน หรือกว่าจะกลับถึงบ้านได้ ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกอีกนี้ไม่อยากจะออกไปทำงานเลย เห็นคนอื่นมีรถแล้วมันสบายดีก็เลยอยากมีบ้าง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไว้ใช้สักคัน ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน เผื่อจะเป็นข้อมูลที่ช่วยตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อรถกันได้บ้าง
ต้องไม่ลืมกันนะว่าเมื่อซื้อรถมาเป็นของตัวเองแล้ว มูลค่าของตัวรถก็จะมีแต่ลดเหมือนกัน ไม่เหมือนบ้านหรือที่ดิน เพราะทันทีที่เราขับรถใหม่ป้ายแดงออกจากโชว์รูมรถยนต์ รถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่เราซื้อมาก็จะกลายเป็นรถเก่าทันที
แล้วสิ่งที่คนซื้อรถมักจะลืมกันหรือไม่ค่อยนึกถึงกันเวลาซื้อรถ ก็คือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะตามมา ได้แก่ ค่าผ่อนชำระและดอกเบี้ยในแต่ละเดือน ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ค่าประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ พ.ร.บ. บุคคลที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการต่อทะเบียนหรือค่าภาษีรถยนต์ ค่าประกันภัยตัวรถยนต์ ค่าบำรุงรักษาตามระยะทาง ค่าตรวจสอบสภาพรถก่อนต่อทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น
ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พูดถึงนั้นเยอะแยะมากมายอยู่พอสมควร แต่บางคนก็ให้เหตุผลในการซื้อรถยนต์ว่ามีความจำเป็น ที่จะต้องใช้รถในการทำงาน เพราะงานที่ทำต้องไปติดต่อลูกค้านอกที่ทำงานบ่อยๆ จะให้นั่งแท๊กซี่ก็อาจจะช้าหรือไม่มีรถมาให้ขึ้นบ้าง หรือบางคนก็บอกว่ามีครอบครัวมีลูกแล้วก็จะได้ไม่ต้องลำบากไปยืนรอรถสาธารณะต่างๆ หรือจะอีกเหตุผลหนึ่งบางคนก็จะเอารถไว้ทำมาหากินบรรทุกของไว้ขายบ้าง ทั้งหมดนี้ก็เป็นเหตุผลของคนที่จำเป็นต้องมีรถไว้ใช้สักคันก็ไม่ว่ากัน ซึ่งถ้าเรามีการวางแผนทางการเงินที่ดีการมีรถก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือลำบากสักเท่าไร เรามาดูกันดีกว่าว่าจะเตรียมตัวกันยังไงถ้าจะซื้อรถไว้ใช้สักคัน
อ่านเพิ่มเติม : ซื้อรถ ทั้งที เตรียมแค่ค่าผ่อนรถอย่างเดียวจะพอหรือไม่
ในการซื้อรถสักหนึ่งคันหาเรามีเงินสดไปซื้อได้ทันทีก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากมายอะไร แต่ถ้าเราต้องขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นๆ แล้วล่ะก็ เราจะต้องมีเงินดาวน์รถก่อนเลย ซึ่งจะอยู่ที่ 25-30% ของราคารถยนต์ ส่วนที่เหลือก็ค่อยผ่อนต่อกับธนาคารหรือบรรดาบริษัทลิสซิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าจะซื้อรถแล้วล่ะก็เงินเก็บก้อนแรกที่ควรจะมีก็คือ เงินสำหรับวางเป็นเงินดาวน์รถยนต์นั่นเอง
เงินก้อนที่สองที่ควรจะมีถัดมา คือ เมื่อเรารู้ว่าจะซื้อรถรุ่นไหน ราคาเท่าไรแล้ว คำนวณเงินดาวน์ไว้แล้ว ต่อมาต้องลองเก็บเงินทุกเดือนเท่ากับจำนวนเงินที่จะต้องผ่อนค่างวดให้กับธนาคารในแต่ละเดือน ทำประมาณ 5-6 เดือนแล้วลองประเมินตัวเองว่าทำไหวหรือเปล่า เครียดหรือเปล่าที่ต้องหาเงินมาฝากแบบนี้ มีเหลือพอใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างไม่เดือดร้อนหรือเปล่า ถ้าสามารถทำได้และไม่เครียด ไม่เดือดร้อน ก็แสดงว่าเรามีความพร้อมเพียงพอที่จะออกรถมาไว้ใช้สักคัน
แต่มีเงินแค่เพียงสองก้อนแรกอาจจะยังไม่พอ เพราะอย่าลืมว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ที่จะเกิดขึ้นทุกปี จนกว่าเราเลิกใช้รถก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นค่าประกันภัยทั้งแบบสมัครใจและภาคบังคับ ค่าบำรุงรักษา ค่าภาษี ค่าน้ำมัน ค่าที่จอดรถเราจะต้องวางแผนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ดีๆ เพราะแต่เดิมเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือรถตู้ ก็มีแค่ค่าโดยสารรายวันเท่านั้น
จากนั้นเราก็มาดูความสามารถในการผ่อนชำระของเราว่าจะสามารถผ่อนรถได้ที่เดือนละเท่าไร ซึ่งหลักคิดก็จะคล้ายๆ กับการซื้อบ้าน นั่นก็คือ ถ้าเราเป็นคนไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆ เลย เราก็สามารถผ่อนรถได้ถึง 50% ของรายได้เลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะกำหนดเพดานการผ่อนชำระหนี้เพื่อซื้อรถยนต์ไว้ที่ 20% ของรายได้ เพราะจะทำให้การผ่อนรถยนต์นั้นไปเบียดบังการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ของเรา โดยเฉพาะการออมเงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีรายได้ต่อเดือน 35,000 บาท จะผ่อนรถได้มากสุดก็คือ 17,500 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว ถ้าหากเราไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆ แต่ถ้าโดยทั่วไปก็จะได้ที่ 7,000 บาท
ส่วนวิธีการคิดดอกเบี้ยของสินเชื่อรถยนต์นั้นจะไม่เหมือนกับสินเชื่อบ้าน คือ รถยนต์จะเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ คิดง่ายๆ คือ
เช่น
- มียอดต้องกู้เงินเพื่อซื้อรถจำนวน 500,000 บาท
- โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี ระยะเวลา 48 เดือน หรือ 4 ปี
- เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยที่เกิดจากการซื้อรถยนต์จะเท่ากับ 80,000 บาท (500,000 x 4% x 4)
- ต่อจากนั้นก็นำเงินที่ต้องการกู้รวมกับดอกเบี้ยและหารด้วยจำนวนเดือนที่ต้องการผ่อน ก็จะได้จำนวนเงินต่อเดือนที่เราต้องจ่าย คือ ประมาณ 12,084 บาท นั่นเอง
ซึ่งการจ่ายของเราแต่ละเดือนก็จะไม่เหมือนสินเชื่อบ้านที่เป็นลดต้นลดดอก เพราะสินเชื่อรถยนต์จะรวมดอกเบี้ยไปแล้วในทุกเดือน ดังนั้นการปิดบัญชีรถยนต์ก่อนก็อาจจะไม่คุ้มเท่าไร เพียงแต่มีข้อกำหนดชัดเจนว่าสถาบันการเงินจะต้องคืนดอกเบี้ยส่วนที่ได้คิดล่วงหน้าไปก่อนแล้วให้กับเราครึ่งหนึ่งด้วย
ทีนี้เราก็พอมีข้อมูลในการตัดสินใจอยู่บางในการซื้อรถใหม่สักคัน ก็ลองสำรวจตัวเองดูก่อนนะ ถ้าคิดดีแล้วไม่เดือนร้อน มีความพร้อมเพียงก็ออกรถใหม่มาใช้ได้ แต่ถ้าไม่พร้อมก็รอไปก่อนจะได้ไม่ต้องเครียดกันเนอะ