สำหรับบัตรต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนการใช้เงินสด เราสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งเลยว่าเงินพลาสติก เชื่อได้เลยว่านอกจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดต่างๆแล้ว หลายๆคนคงจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีสำหรับ บัตรเดบิตผ่อนสินค้า เพราะความสะดวก รวดเร็ว และการเซฟตัวเองสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเก็บเงินสดไว้ในมือได้อยู่เพื่อจับจ่าย วันนี้ลองมาทำความเข้าใจและทำความรู้จักกับบัตรเดบิตกันดีกว่านะคะว่าเป็นอย่างไร มีข้อดีอย่างไร หรือแตกต่างจากบัตรเครดิตอย่างไร
เอ้า… มีงอกขึ้นมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นบัตรเอทีเอ็ม บัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิตต่างๆ วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับ บัตรเดบิตผ่อนสินค้าดู บ้างว่าเป็นมาอย่างไร
ความหมายของบัตรเดบิตผ่อนสินค้า
ไม่ต้องนิยามอะไรมาก เอาง่ายๆเลย บัตรเดบิตผ่อนสินค้านั้นคือ บัตรเงินสดที่เราสามารถนำไปใช้จับจ่ายใช้สอย ซื้อของ ก็คล้ายบัตรเครดิตนั่นล่ะค่ะ แต่มันจะมีความแตกต่างคือการคงความเป็นบัตรเอทีเอ็มที่สามารถใช้ฝาก ถอน โอน ชำระค่าบริการต่างๆ ได้ตามปกติ โดยที่ไม่เป็นหนี้นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตกับบัตรเดบิตผ่อนสินค้า
ก่อนอื่นนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนเลยว่าบัตรเครดิต เป็นบัตรที่ได้นำเงินออกมาใช้ล่วงหน้า โดยสถาบันการเงินจะออกให้เราก่อนแล้วเราจึงผ่อนให้ทีหลัง พร้อมกับดอกเบี้ยตามแต่ละสถาบันได้มีระบุ ส่วนบัตรเดบิตผ่อนสินค้า เงินที่เรานำมาใช้ หรือผ่อนนั้นเป็นเงินของเราเอง เมื่อมีการใช้จ่ายเงินจะถูกหักออกจากบัญชีทันที จึงหมดปัญหาเรื่องการกดเงินเกินบัญชีได้ อีกอย่างตัวบัตรเองก็มีการกำจัดวงเงินในแต่ละวันจึงถือว่าเป็นข้อดีที่เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะถ้าเราไม่อยากจ่ายเยอะเราก็ใส่เงินในบัญชีน้อยๆก็เท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างบัตรเดบิตผ่อนสินค้ากับบัตรเอทีเอ็ม
อีกหนึ่งบัตรที่มีความสำคัญสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินเลยคือบัตรเอทีเอ็มไม่ว่าจะเป็นการ ฝาก โอน ถอน หรือใช้ชำระค่าบริการต่างๆ เพียงแต่ไม่สามารถรูดซื้อสินค้าแทนเงินสดได้ เมื่อใช้งานนั้นจะต้อง กดเงินจากตู้ก่อนแล้วนำมาจ่าย แต่สำหรับบัตรเดบิตนั้น เราก็สามารถใช้รูดได้ทันทีไม่ต้องเดินไปกดเงินให้เสียเวลาแต่อย่างไร เป็นการเพิ่มความสะดวกในตัว
การใช้บัตรเดบิตดีกว่าการใช้เงินสด
ตรงที่สามารถป้องกันการหายระหว่างทางได้ หลายคนได้เลือกใช้บัตรเดบิตผ่อนสินค้าแทน เพราะถ้าเรารู้ตัวว่าบัตรหายก็สามารถโทรไประงับได้ ส่วนข้อแตกต่างอีกข้อที่น่าสนใจคือ ถ้าใช้บัตรเดบิตผ่อนสินค้าในการใช้จ่ายแทนเงินสดเราอาจจะได้แต้มเพื่อไว้แลกของรางวัลหรือได้ส่วนลดซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่ไม่สามารถมีได้จากการใช้เงินสดเพื่อชำระสินค้าได้อย่างแน่นอน
สถานที่ที่สามารถใช้บัตรเดบิต
การที่มีบัตรในมือนั้นไม่ใช่ว่าจะสามารถนำไปใช้ได้ทุกที่เสียนะคะ เพราะจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ เป็นร้านค้าที่มีสัญลักษณ์เหมือนบนบัตรที่เราใช้ ซึ่งก็ต้องดูเงื่อนไขในการใช้จ่าย เช่น บางร้านค้าอาจจะใช้บัตรเดบิตต่อเมื่อซื้อของเกิน 100 บาท เมื่อเราได้ทำการชำระปั๊บเงินจะถูกหักจากบัญชีทันที ส่วนใบรายการแจ้งการใช้จะได้รับในภายหลังเป็นรายเดือน ที่ถูกส่งมายังที่บ้านคุณเองนั่นล่ะ
ขั้นตอนการทำบัตรเดบิตผ่อนสินค้า
การเปิดบัตรเดดิตก็เหมือนกับการเปิดบัตรเอทีเอ็ม คือเป็นการเปิดบัญชีเงินฝากแล้วแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องการบัตรอะไร ซึ่งปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะคอยแนะนำเรื่องบัตรเดบิตผ่อนสินค้าให้เราได้รู้จักก่อนที่จะตัดสินใจทำบัตรนั่นล่ะ ซึ่งปกติแล้วจะมีบัตร 4 ประเภทคือ
- บัตรเอทีเอ็มธรรมดาที่ไว้ ฝาก ถอน โอน จ่ายอย่างเดียว แบบนี้ค่าบัตรครั้งแรกประมาณ 200 บาทกับค่าธรรมเนียมรายปีอีก 100 บาท
- บัตรเอทีเอ็มแบบมีการการคุ้มครอง บัตรประเภทนี้จะมีการประกันภัยอะไรสักอย่างให้เราด้วยแต่ค่าธรรมเนียมรายปีก็แพงกว่าแบบแรกอยู่พอสมควร (แล้วแต่สถาบันที่เราไปสมัคร)
- บัตรเดบิต เจ้าหน้าที่มักจะแนะให้เราเลือกเป็นบัตรประเภทนี้ เพราะข้อดีอย่างเช่นการได้แต้มหรือส่วนลดเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ส่วนค่าธรรมเนียมจะแพงกว่าแบบแรกนิดหน่อย
- บัตรเดบิตแบบมีการคุ้มครอง คือเป็นบัตรเดบิตที่มีการคุ้มครองหรือไม่วงเงินในการใช้จ่ายจะสูงกว่า
สำหรับการเตรียมหลักฐานเพื่อทำบัตรเดบิตนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากค่ะ เพียงแค่มีเงินสดกับบัตรประชาชนแค่นี้ก็สามารถทำบัตรเดบิตผ่อนสินค้าได้แล้ว แล้วอย่าลืมตัดสินใจให้ดีว่าเราจะเลือกบัตรประเภทไหน เพราะถ้าหากเรามัวแต่ฟังเจ้าหน้าที่แนะนำเราอาจจะเผลอไปทำบัตรที่มีค่าธรรมเนียมรายปีสูง ทำให้เราเสียเงินไปกับค่าธรรมเนียมโดยที่เราอาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเลยก็ได้ บางครั้งเจ้าหน้าที่เองก็ต้องการให้เราทำบัตรที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่แพงโดยอ้างว่าบัตรหมด ดังนั้นหากต้องการทำบัตรเดบิตนั้น ขอแนะนำเลยว่า ควรเปิดบัญชีในสาขาหนึ่งและค่อยไปทำบัตรเดบิตอีกสาขาหนึ่งถ้าหากคุณไม่รีบร้อนที่จะต้องใช้บัตร และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ ต้องทำการศึกษาให้ชัดเจนก่อนการตัดสินใจนะคะ