มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท มีพันบาทไปตลาดแทบไม่เหลือ
อ่านแล้วงงกันใช่ไหมล่ะ ก็อย่างที่บอกเรามักบอกตัวเองเสมอๆว่าให้ประหยัดอดออม แต่ในยุคนี้อย่างที่จั่วหัวเรื่องมาจริงๆ คือ มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท มีพันบาทไปตลาดแทบไม่เหลือ ยุคนี้ เงิน 1,000 บาท หากไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักซื้อของ เชื่อไหมว่ามันแทบละลายหายไปกับอากาศจริงๆ เพราะอะไรๆก็แพง ต่อให้ซื้อของลดราคาก็ยังแพง เราหาคำตอบกันไม่ได้ว่าทำไมของแพง ปัจจัยอะไรที่ทำให้เงินทุกวันนี้น้อยค่าลงทุกที
ลองคิดตามง่ายๆนะ มีเงิน 1,000 บาท ไปซื้อของกินของใช้ในบ้าน ง่ายๆข้าวสารเส้าไห้ธรรมดา ราคาถังละ 475 บาท เงิน 1,000 บาทเหลือไม่กี่ร้อยแล้ว ไหนจะซื้อหมู ซี้อผัก กะปิ น้ำปลา สารพัดเครื่องปรุง 1,000บาทนี่แทบไม่พอแล้ว ยังมีหลายคนบอกว่าซื้อทำไมข้าเป็นถังมันแพง ซื้อเป็นถุงสิ ในห้างข้าวดีๆถุงละเท่าไหร่ ต่ำๆ ก็ 185 บาท แล้วของอย่างอื่นอีกล่ะ บอกเลยว่ายังไงก็แทบไม่พอ เพียงแต่ได้ปริมาณที่สามารถเก็บไว้ทำได้หลายมื้อ บางคนบอกว่าฉันซื้อกินไม่ทำกับข้าว เดี๋ยวนี้มื้อๆหนึ่งถูกๆข้าวถุงแกงถุงรวมแล้วถูกสุดก็ 40 บาท แถมบางคนกินไม่อิ่มอีก เห็นไหมว่าอะไรๆก็แพงขึ้นทุกวันๆ เงิน 1,000 หากไม่บริหารดีๆหมดในพริบตาจริงๆ
แล้วทีนี้ก็ต้องมีคำถามว่าจะใช้อย่างไรให้คุ้มค่า อย่างๆง่ายคือการซื้อของกินของใช้ในบ้าน ยกตัวอย่างข้าวสาร หากเทียบระหว่างข้าวถุงกับข้าวถัง บอกเลยว่าซื้อเป็นถังจะถูกว่า เพราะ 1 ถังจะมีปริมาณ 15 กิโล ส่วนถุงนั้นถุงละ 5 กิโล ก็ลองเทียบราคาข้าวที่ทานกันดูรับรองว่าซื้อเป็นถังประหยัดกว่าแน่นอน ส่วนของอื่นๆเช่น น้ำปลา น้ำมัน น้ำตาล อันนี้ซื้อในห้างจะถูกกว่าซื้อตลาดสดหรือร้านสะดวกซื้อ เพราะบางช่วงจะมีโปรโมชั่นลดราคา แนะนำว่าให้ซื้อมาแบบแพคคู่ หรือซื้อที่ละ 2 ขวดไปเลยเพราะสามารถเก็บไว้ได้นาน และยังสามารถวางแผนการซื้อของเหล่านี้ได้เช่น ซื้อเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง เป็นต้น นอกจากนี้การใช้จ่ายประจำวัน เงิน 1,000 บาทหากแตกเป็นย่อยๆเมื่อไหร่ล่ะก็มันหายวับโดยไม่รู้ตัวเพราะจับจ่ายเพลินไอ้นั่นก็น่าซื้อ ไอ้นั่นก็น่ากิน เผลอไปแป๊ปเดี๋ยวนับเงินที่เหลือแทบจะหงายหลังเงินหายไปกับอะไรหมด
ถึงได้บอกว่าทุกวันนี้ต้องวางแผนในการใช้เงิน จ่ายอะไรต้องจดบันทึกไว้ จ่ายอะไรต้องคิดก่อน เพราะเงินเข้าแล้วออกง่ายแต่กว่าจะเข้าอีกบางคนรอเป็นเดือนเลยทีเดียว เงินหายากต้องรู้จักใช้ หลายๆคนไม่ระวังกว่าจะเงินเดือนออกอีกทีหน้าแห้งเหี่ยวกันเป็นแถวๆ แล้วยิ่งทุกวันนี้ใช้แต่บัตรเครดิตกันเลยทำให้กลายเป็นเฉยๆกับการไม่มีเงินเพราะเดี๋ยวก็เอาบัตรไปกด เรียกว่าใช้ก่อนจ่ายหลังจ่ายขั้นต่ำหนี้บานตะไทกันไป นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนเป็นหนี้และไม่รู้จักค่าของเงินกัน ต่างจากคนที่ใช้เงินสดมากกว่าบัตรเครดิต คนกลุ่มนี้จะรู้เลยว่าเงินในกระเป๋านั้นมีเท่าไหร่ ต้องจ่ายอะไรบ้าง อะไรสำคัญ อะไรที่ฟุ่มเฟือย คนกลุ่มนี้จะวางแผนการใช้เงินอย่างระวังเพราะไม่นิยมกดเงินจากบัตรหรือใช้บัตรพร่ำเพรื่อ เนื่องจากไม่อยากเป็นหนี้
สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ ทุกวันนี้ค่าเงินมันน้อยลง จะกินจะใช้ควรระมัดระวังกันบ้าง ประหยัดตามแบบของตัวเอง ใช้จ่ายแต่พอดี มีมากใช้พอดี มีน้อยใช้พอดี รับรองว่าไม่ว่าจนหรือรวย ก็จะมีเงินให้เพียงพอใช้จ่าย สมัยนี้อะไรๆมันเปลี่ยนไปจะให้ยึดติดกับแบบเดิมๆคือ ฉันรวยฉันมีฉันจ่ายได้ หรือ ฉันจนฉันต้องอด มันไม่ได้แล้วเพียงแต่ให้เลือกวิธีที่จะทำให้เงินที่มีอยู่นั้นถูกใช้อย่างมีประโยชน์และคุ้มค่า ลดภาระฟุ่มเฟือย จ่ายเท่าที่จำเป็นมีเหลือก็เก็บออม ไม่เหลือก็ขอให้มีใช้ไม่ต้องเป็นหนี้ จะเหมาะกับวิถีชีวิตยุคนี้มากกว่า การที่จะหวังออมเงินแล้วรวยเหมือนสมัยก่อนบอกเลยว่ามันยากเพราะค่าเงินมันถูกลงแต่ของมันแพงขึ้น การมีเงินใช้โดยไม่เป็นหนี้จึงเป็นการอยู่รอดที่ดีที่สุดในยุคนี้