ถ้าวันนี้เราคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจเองแล้วล่ะก็ มีอยู่หนึ่งเรื่องที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลย นั่นก็คือ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆของกิจการของเรา และก็จะมีเสียงอยู่ในใจว่าเราไม่เคยเรียนบัญชี เราไม่เคยเรียนการเงิน เราจะรู้ได้ยังไง แถมเดียวนี้ก็จ้างคนมาทำก็ได้ เพราะเคยรู้มาว่าเรื่องไหนที่เราไม่ถนัดอย่าไปเสียเวลากับมัน ให้คนที่เชี่ยวชาญมาทำแทนเราดีกว่า ซึ่งเราจะคิดแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่อย่างน้อยเราก็ต้องรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ ของกิจการเราบ้าง มาดูกันดีกว่าวิชาการเงินอะไรบ้างที่ เจ้าของธุรกิจมือใหม่ จะต้องเรียนรู้
เริ่มต้นกันที่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ หรืองบกำไรขาดทุน
ซึ่งข้อมูลที่เราจะได้จากงบกำไรขาดทุนนี้ ก็เป็นไปตามชื่อเลย คือ เป็นงบที่จะบอกตัวเลขเกี่ยวกับธุรกิจของเราว่า สำหรับช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งนั้น เรามี “กำไร” หรือ “ขาดทุน” เป็นเท่าไร โดยส่วนมากงบกำไรขาดทุนนี้จะทำทุกสิ้นเดือน ทุกไตรมาส และทุกสิ้นปี เช่น ถ้าเราได้ งบกำไรขาดทุน สำหรับสิ้นเดือนมกราคม 2559 มาอ่าน เราก็จะรู้ได้ว่าธุรกิจของเราที่ทำมาตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2559 ที่ผ่านมานั้น มีกำไรหรือขาดทุนเป็นเท่าไร และถ้าหากมีผลขาดทุนเกิดขึ้น เราก็สามารถดูให้ลึกไปอีกนิดก็ได้ว่าที่ขาดทุนนั้นอาจเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายตรงไหนที่มากเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าเราได้งบกำไรขาดทุนที่เป็นสำหรับสิ้นสุดปี 2558 มานั้น ตัวเลขที่อยู่ในงบทั้งหมดก็จะบอกเราว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2558 นั้น ธุรกิจของมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไรนั่นเอง
ต่อมาก็เป็นงบกระแสเงินสด
ที่จะแสดงให้เราเห็นภาพทั้งหมดว่าเงินสดที่เราใช้ไปในการทำธุรกิจแต่ละช่วงเวลานั้นไปไหนบ้าง เพราะตัวเลขที่จะแสดงในงบกระแสเงินสดนี้จะทำให้เราเห็นว่าธุรกิจของเรา มีเงินเข้ามาจากทางไหนบ้าง และมีเงินออกไปกับเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งถ้านำมาหักลบกันแล้วผลที่ได้ออกมาจะต้องเป็นบวก และจะต้องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนด้วย แต่ถ้าหากกลับกัน คือ แทนที่จะมีเงินเข้ามากกว่าเงินออก กลับกลายเป็นว่ามีเงินออกมากกว่าเงินเข้าแล้วล่ะก็ เราต้องมาหาดูว่าเงินหายออกไปทางไหนจะได้หาวิธีควบคุมกัน
สุดท้ายที่ต้องดูให้เป็นอีกงบก็คือ งบแสดงฐานะทางการเงิน หรือที่เราเคยได้ยินแต่ก่อนว่างบดุล
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ “สินทรัพย์” กับ “หนี้สินและทุน” ซึ่งตัวเลขทั้งสองฝั่งจะต้องเท่ากันพอดี และเมื่อเราสลับข้างของสมการ จาก “สินทรัพย์ = หนี้สิ้น+ทุน” เป็น “สินทรัพย์-หนี้สิน = ทุน” น่าจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่า เมื่อนำสินทรัพย์ที่มีอยู่หักออกจากหนี้สินแล้ว ส่วนที่เหลือนั่นก็คือ ทุน ที่เป็นมูลค่าของธุรกิจนั่นเอง ถ้ายิ่งมีค่ามากก็แสดงให้เห็นว่าเรารวยขึ้น แต่ถ้ามีค่าน้อยเราก็ต้องพยายามเพิ่มสินทรัพย์ให้มากขึ้น หรือพยายามทำหนี้ให้ลดลง
สำหรับ เจ้าของธุรกิจมือใหม่ อาจจะดูงบแสดงฐานะทางการเงินสักปีละครั้งก็พอ แต่สิ่งที่ต้องอยู่อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง ก็คือ งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จและงบกระแสเงินสด เพราะว่าจะทำให้เรารู้อยู่ตลอดว่าธุรกิจของเราไปได้ดีหรือไม่ดีแค่ไหน และนอกจากตัวเลขในงบต่างๆ ที่เราต้องรู้จักแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจมือใหม่ต้องเรียนรู้เหมือนกัน คือ การนำตัวเลขในงบที่ได้มาวิเคราะห์ หรือที่เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่า การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งมีตัวหลักๆ 4 กลุ่มที่เราจะต้องรู้ไว้บ้าง เพื่อที่จะได้รู้มากขึ้นไปอีกขั้นว่าตอนนี้ธุรกิจของเรามีแนวโน้มเป็นยังไงบ้าง
โดยตัวเลขที่เราจะนำมาวิเคราะห์นี้เราอาจจะให้คนทำบัญชีทำให้เรา หรือเราอาจจะไปหาสูตรการคำนวณจากอินเตอร์เน็ตมาลองคิดเองดูก็ได้ เมื่อพอได้แล้วเราก็ต้องแปรความหมายให้เป็นด้วย ตัวแรกที่เราควรจะต้องรู้ คือ
- สภาพคล่องของกิจการ
ซึ่งจะบอกเราได้ว่าธุรกิจของเรามีความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้น หรือหนี้ที่ไม่เกิน 1 ปี ได้มากน้อยแค่ไหน และมีอะไรที่ทำให้ธุรกิจของเรามีเงินไม่คล่องมือบ้าง
- ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์
ซึ่งจะเป็นเรื่องของความสามารถของธุรกิจเราในการเก็บเงินจากลูกหนี้และการจัดการกับสินค้าที่มีอยู่ ว่าธุรกิจของเราสามารถจัดการได้อย่างดี คือ มีลูกหนี้ที่ดีจ่ายเงินตามกำหนดและไม่มีสินค้าค้างอยู่นานเกินไป อีกตัวคือ
- ความสามารถในการบริหารหนี้สิน
ที่จะช่วยบอกให้เรารู้ว่า ธุรกิจของเรามีภาระหนี้สินมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับเงินทุนของเรา และสุดท้ายที่น่าจะต้องรู้ไว้ คือ
- ความสามารถในการทำกำไร
โดยตัวเลขที่เราได้มานี้จะช่วยบอกได้ว่ายอดขายของธุรกิจเรานั้นช่วยทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน และยังช่วยให้รู้อีกด้วยว่าเราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีแค่ไหน รวมทั้งยังช่วยให้รู้อีกด้วยว่าทุนที่เราลงไปนั้นให้ผลตอบแทนมามากน้อยแค่ไหนอีกด้วย
เพราะฉะนั้นเมื่อเราหันมาเป็นเจ้าของธุรกิจเองแล้ว เราก็น่าที่จะต้องเรียนรู้เรื่องการเงินของธุรกิจเราเองด้วย