ทุกๆครั้งที่เวลาเริ่มเปลี่ยน แน่นอนว่านั้นจะหมายถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นความแตกต่างในหนึ่งวัน แต่ก็จะเห็นได้ชัดเมื่อผ่านพ้นไปหนึ่งปี จากคนวัยเด็กก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไปเป็นวัยรุ่น จากคนวัยหนุ่มสาวก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนวัยทำงานเต็มตัว และที่แน่นอนที่สุดก็คือจากคนวัยทำงานก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นวัยแก่ ซึ่งถ้าหากว่าเรามองผิวเผินแล้ว ก็มองเห็นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไม่น้อยเลยล่ะ
ในปัจจุบันนี้ เราทุกคนรู้ดีและสามารถรู้สึกได้จำนวนผู้สูงอายุมีอยู่เยอะอย่างมากเลยล่ะ โดยในตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีอยู่ประมาณ 840,000 คน หรือคิดเป็น 9% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ แต่ด้วยอัตราการเกิดที่ลดลงทำให้มีการคาดว่าจำนวนประชากรผู้สูงอายุไทยจะเพิ่มเป็น 18 ล้านคนในปี 2050 หรือ 27% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นจำนวนของผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว โดยที่ยังไม่ได้คิดถึงประชากรคนทั่วไปนะและถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการปลูกฝังในเรื่องของการเลี้ยงดูพ่อ แม่ และผู้สูงอายุก็ตาม แต่เราลองนึกภาพครอบครัวที่มีลูกคนเดียวหรือสองคนดูสิ แล้วจะรู้ว่าลูกของคนในครอบครัวนั้น จะต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุกี่คน
ปัญหาผู้สูงอายุไม่ได้มีมากในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวนะ ที่ต่างประเทศก็มีผู้สูงอายุมากเช่นกัน อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่น ที่ในตอนนี้เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว โดยมีสัดส่วนจำนวนประชากรสูงอายุมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อนผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะที่อยู่บ้านและมีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว แต่ในปัจจุบันกลับต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ทำให้คนดูแลผู้สูงอายุมีจำนวนลดน้อยลง และยิ่งเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ด้วยแล้ว ยิ่งต้องการคนดูแลผู้สูงอายุอย่างมากเลยล่ะ และปัญหาในเรื่องของผู้สูงอายุที่เราเห็นชัดที่สุด ก็น่าจะเป็นประเทศจีนนะ
ประเทศจีนก็เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุอย่างมากเช่นเดียวกับไทย ซึ่งในตอนนี้ด้วยการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ประชากรจีนจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นลูก รุ่นหลานจำเป็นจะต้องออกเดินทางไปทำงานไกลบ้านและทอดทิ้งให้พ่อแม่ที่ชราภาพให้ดูแลตัวเองมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลจีนต้องมีการประกาศนำเอากฎหมายดูแลสิทธิสำหรับผู้สูงอายุมาใช้ เพื่อที่จะบังคับให้ลูกหลานกลับไปเยี่ยมคนทางบ้านและดูแลพวกเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่มีจำนวนประชากรของผู้สูงอายุมากขึ้น ก็ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้สึกพักผ่อนมากยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยถูกจัดเป็น 1 ใน 10 ของอันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเหมาะสมในการอยู่หลังเกษียณ โดยข้อมูลนี้มาจาก International Living Magazine1 และแน่นอนว่าการที่ผู้สูงอายุเหล่านั้นที่เข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศของเรา ก็มักจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล ค่าดูแลสุขภาพต่างๆรวมอยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกเขาด้วย ซึ่งเป็นผลดีกับประเทศไทยอย่างมากเลยล่ะ
เราจะเห็นได้ว่าการที่ทั่วทั้งโลกมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อย ก็ไม่ใช่จะมีแต่ผลเสียเสมอไป จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ก็เป็นโอกาสทองของใครหลายๆคนเลยล่ะ และเราก็มีแนวทางการดำเนินธุรกิจดังนี้
- สำหรับในส่วนของธุรกิจระยะสั้น จะเน้นไปที่การดูแลผู้สูงอายุตามที่ต้องการ
ในช่วงแรกๆนี้ เป็นโอกาสทองของการให้บริการในระยะสั้น อย่างเช่น daycare ,nursing home และรวมไปถึงการดูแลผู้สูงอายุตามบ้านหรือตามครอบครัวต่างๆที่ต้องการ การบริการต่างๆเหล่านี้ จะสามารถตอบสนองและเป็นที่ต้องการของผู้สูงอายุชาวไทยและผู้สูงอายุชาวต่างชาติแน่นอน เพราะลูกหลานของพวกเขาเหล่านั้น ไม่ค่อยมีเวลาดูแลและพวกเขาก็ยังต้องการใครสักคนที่สามารถช่วยเหลือได้ในยามที่ต้องการ โดยในส่วนนี้จะเป็นการดูแลในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นตามช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้เท่านั้น
- สำหรับในส่วนของธุรกิจระยะยาว จะเน้นไปที่การสร้างที่พักและสร้างบริการดูแลผู้สูงอายุที่มากยิ่งขึ้น
ในส่วนของธุรกิจระยะยาว การสร้างที่พักและการให้บริการดูแล จะเป็นสิ่งที่มีความต้องการอย่างมากเลยล่ะ การสร้างที่พักในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์หรือบ้านพัก จะเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้สูงอายุที่เกษียณตัวเองแล้วต้องการหาสถานที่ที่มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็มักจะอยู่คนเดียว และการที่เราสร้างบริการดูแลผู้สูงอายุเหล่านั้น ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ โดยในส่วนนี้ ในเรื่องของการดูแลผู้สูงอายุจะเน้นไปที่การดูแลระยะยาว ซึ่งอาจจะรวมไปถึงการเป็นคนดูแลประจำตัวเลยก็ได้ ยิ่งผู้สูงอายุคนไหนที่ต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสทองไม่น้อยเลย
อ่านเพิ่มเติม : เปิดโผธุรกิจฉายแววรุ่ง รองรับ สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคต