คำว่า เศรษฐี คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่อยากจะลองเป็นดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะการได้มีเงินทองมากมายมากองอยู่ตรงหน้า การมีบ้านพักอาศัยหลังใหญ่โตมโหฬาร ได้รับประทานอาหารดี ๆ หรู ๆ แพง ๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโก้หรูแบรนด์ดัง มีรถคันโตยี่ห้อดังขับขี่ไปมาบนท้องถนนหรือกระทั่งการไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศไม่เว้นแม้ แต่ละวัน อาจจะทำให้หลายคนคิดว่านั่นอาจจะเป็นนิยามเป็นความหมายหรือสัญลักษณ์ที่เป็นแสดงว่าเป็นเครื่องหมายของคำว่า เศรษฐี
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วนั้น คำว่า เศรษฐี ที่ได้คิดกันขึ้นมาคืออะไรกันแน่ มีเงินมากน้อยเพียงแค่ไหนถึงจะเพียงพอหรือต้องดำเนินชีวิตอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นถึงจะใช่ เศรษฐีกับความสำเร็จในชีวิต สองคำนี้ดูเหมือนว่า จะมีความคล้ายคลึงกันหรือหลายคนอาจจะมองเห็นว่ามันมีความหมายเดียวกันหมด หากแต่เมื่อพิจารณาดูตาม ความเป็นจริงแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่เลย เพราะคำว่า เศรษฐี ส่วนใหญ่เป้าหมาย คือ เงินทอง ทรัพย์สิน ความร่ำรวย ส่วนความสำเร็จในชีวิตนั้น เป้าหมายหลัก ๆ ก็คือ การที่เราสามารถบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ เงินทอง ความร่ำรวยเลยแม้แต่เพียงเล็กน้อยอย่างเช่น เราได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่งแสน ก่อนอายุ 25 ปี แล้วสามารถเก็บเงินทองได้ครบตามจำนวนที่วางไว้ แน่นอนความภาคภูมิใจในตนเองย่อมเกิด ความเชื่อมั่นและความนับถือตนเองจึงเกิดและนั่นคือ ความสำเร็จในชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น แต่การนำเอาสองคำ ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นมารวมกันคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป หากเรารู้ว่าต้องทำเช่นไร สิ่งที่ทำนั้น เราต้องรู้อยู่แก่ใจ
ดังนั้น จึงเป็นการดีหากเราดำเนินชีวิตตามพุทธวจนของพระศาสดาที่ทรงตรัสให้การสั่งสอนเพื่อ ให้บังเกิดความสำเร็จในชีวิต น่าจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าสิ่งใดและเป็นเศรษฐีของความสุขที่แท้จริง ซึ่งพระศาสดาทรงตรัสกล่าวเรื่อง การเป็นฆราวาสชั้นเลิศ ดังนี้ว่า คหบดี..ในบรรดากามโภคีเหล่านั้น กามโภคีผู้ใด แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เคร่งครัดด้วย ครั้นแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เคร่งครัดแล้ว ทำตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำด้วย แบ่งปันโภคทรัพย์บำเพ็ญบุญด้วย ไม่กำหนัด ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง มีปกติ เห็นโทษ มีปัญญา เป็นเครื่องสลัดออก บริโภคโภคทรัพย์ เหล่านั้นอยู่ด้วย
คหบดี…กามโภคีผู้นี้ ควรสรรเสริญโดยฐานะทั้งสี่ คือ ควรสรรเสริญโดยฐานะที่หนึ่ง ในข้อที่เขาแสวงหา โภคทรัพย์โดยธรรมโดยไม่เคร่งครัด ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สอง ในข้อที่เขา ทำตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สามในข้อที่เขา แบ่งปันโภคทรัพย์ บำเพ็ญบุญ ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สี่ ในข้อที่เขาไม่กำหนัด ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก บริโภคโภคทรัพย์เหล่านั้น
คหบดี…กามโภคีผู้นี้ ควรสรรเสริญโดยฐานะทั้งสี่เหล่านี้
คหบดี… กามโภคีจำพวกนี้ เป็นกามโภคีชั้นเลิศ ชั้นประเสริฐ ชั้นหัวหน้า ชั้นสูงสุด ชั้นบวรกว่ากามโภคีทั้งหลายเปรียบเสมือนนมสดเกิดจากแม่โค เนยข้นเกิดจากนมสด เนยใสเกิดจากเนยข้น หัวเนยใสเกิดจากเนยใส หัวเนยใสปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดารสอันเกิดจากโคทั้งหลาย เหล่านั้น ข้อนี้ฉันใด กามโภคีจำพวกนี้ ก็ปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดากามโภคีทั้งหลายเหล่านั้น ฉันนั้น แล (ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๔/๙๑.)
ดังนั้น เมื่อมองด้วยปัญญาโดยไม่ลุ่มหลงงมงายแล้วนั้น เราจะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเราเองว่า คาถาหัวใจเศรษฐี ที่หลายต่อหลายคนพากันสวดพากันท่องนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไร มันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า ไร้สาระ ไร้แก่นสาร แค่เพียงการสวดคำไม่กี่คำซ้ำไปซ้ำมาว่า อุ อา กะ สะ อา กะ สะ อุ กะ สะ อุ อา สะ อุ อา กะ แล้วถือเอาเป็นจริงจังว่า ต้องสวดให้ครบ 5 จบนะ ในทุก ๆ เช้าก่อนออกจากบ้านทุกวัน แล้วคาถานี้จะสามารถบันดาลเงินทองโชคลาภมาสู่แก่ ตัวผู้สวดเองได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เลยแม้แต่เพียงเล็กน้อย
อ่านเพิ่มเติม : อุ อา กะ สะ คาถาเศรษฐี
เพราะการมานั่งสวดนั่งท่องคำอะไรเทือกนั้น ไม่สามารถที่นำพาชีวิตเราให้ดีขึ้นเพื่อให้เรามีความเป็นเศรษฐีตามความมุ่งหวังโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย รวมทั้งความสำเร็จในชีวิตที่คาดหวังเอาไว้ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้หากใจของเราเองนั้นยังไม่พบกับคำว่า พอ เลยแม้แต่เล็กน้อย
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้มีการเรียนรู้ในคำพระศาสดาพุทธจนที่ได้ทรงตรัสกล่าวไว้ในข้างต้นแล้วนั้น พร้อมทั้งน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงใจและตั้งใจจริง ในที่สุดเราก็จะรับรู้ด้วยตัวของเราเองว่าความสำเร็จ ในชีวิตที่เพียรตามหามานานแสนนานนั้นคืออะไร สิ่งที่ดีก็จะบังเกิดขึ้นมาในชีวิต แม้เรามีฐานะปานกลางความสมบูรณ์ และความสุขก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้น คาถาหัวใจเศรษฐีที่แท้จริงแล้วก็คือ การน้อมนำคำพระศาสดาพุทธวจนเรื่อง การเป็นฆราวาสชั้นเลิศ มาปฏิบัติตามด้วยศรัทธาทั้งหมดที่มี สุดท้ายแล้ว คำว่า เศรษฐี และ ความสำเร็จในชีวิต ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป