วางแผนจัดงานแต่งงานอย่างไร ส่วนใหญ่คำถามจะหยุดอยู่เท่านี้ สำหรับคู่รักที่กำลังจะจัดงานแต่งงาน เพราะการแต่งงานถือเป็นงานที่อาจจะใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับหลาย ๆ คู่ที่จะเกิดขึ้นเพื่อเราเองโดยเฉพาะมีแขกเหรื่อญาติพี่น้องมากมาย เพื่อน ๆ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงเพื่อนที่ทำงานก็มากันหมดทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง รวมหลายร้อยคนความกดดันต่าง ๆ ในการเตรียมพร้อมเพื่อจัดงานต้อนรับผู้คนจำนวนมาก ๆ จึงบังเกิดกับคู่รักทุกคู่
เมื่อเริ่มจะจดรายการ to do list ที่จะต้องทำต้องเตรียมก็ยาวเหยียดเสียจนต้องจัดเวลากันให้พร้อมถึงแม้ปัจจุบันงานแต่งงานแบบ format มาตรฐานจะจัดได้ง่ายดาย เพียงเลือกวันและโรงแรม รวมถึงหาแพ็กเกจถ่าย Pre-Wedding เหมาะ ๆ ก็จบแล้วเกือบทุกเรื่อง ผู้ที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วจะรู้เลยว่าง่ายแสนง่าย เตรียมเงินไว้ทุกอย่างก็เตรียมให้พร้อมอยู่แล้ว
แต่คำถามมีต่อว่าวางแผนจัดงานแต่งงานอย่างไร “ให้ได้กำไร” เป็นเรื่องน่าสนใจ
ซึ่งก่อนอื่นคู่รักก็ต้องประเมินก่อนว่างานแต่งจัดแบบไหน คนมาร่วมงานกี่คน ประเมินจากแขกของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงแล้วน่าจะใส่ซองกันเท่าไหร่ ดังนั้น แรกเริ่ม ต้องประเมินจำนวนแขกที่มาร่วมก่อนว่ามีกี่คน โดยให้ระบุให้ละเอียด เช่น เชิญคนเดียวหรือทั้งครอบครัวและถ้าเป็นไปได้ ให้เช็คด้วยว่าจะมาเดี่ยวหรือมาคู่ หรือจะมาพร้อมลูก ๆ ด้วย เพื่อที่เราในฐานะผู้จัดจะได้ลงจำนวนแขกได้แม่นยำ แขกที่ มากจำเป็นต้องแบ่งเป็นกลุ่มให้ชัดเจน เช่น แขกจากทางคุณพ่อคุณแม่เจ้าบ่าวหรือจากฝั่งเจ้าสาว ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนที่ทำงานทั้งเก่าทั้งใหม่ เพื่อนโรงเรียน เพื่อนประถม แยกให้ชัดเจน แล้วจัดรายชื่อแขกมาทั้งหมด
การประเมินแขกที่มาเป็นเรื่องที่สำคัญ เยอะและยาก คู่บ่าวสาวต้องให้ความใส่ใจ เพราะนอกจากท่านเหล่านั้นจะเป็น ผู้ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีในงานแล้ว ยังเป็นผู้ให้การสนับสนุนช่วยค่าใช้จ่ายในงานด้วยเช่นกัน ดังนั้น การจัดทำรายการรายชื่อแขก นอกจากจดแล้วให้ประเมินความน่าจะเป็นด้วยว่าแขกผู้นั้นจะมาร่วมงานหรือไม่เพื่อทำเป็นตารางเช็คด้านหลังไว้อีกหนึ่งคอลัมน์เลย การประเมินว่าแขกคนไหนจะใส่ซองช่วยเท่าไหร่เป็นเรื่องคาดการณ์ได้ยากสำหรับแขกผู้ใหญ่ ที่เป็นแขกของพ่อและแม่ แต่การประเมินซองจากกลุ่มเพื่อน ๆ แต่ละกลุ่มนั้น สามารถทำได้ไม่ยากเพราะส่วนมากแต่ละกลุ่ม จะคุยกันเองภายในว่าควรใส่ซองเท่าไหร่ดีและจะใส่มาเท่า ๆ กันทั้งกลุ่ม นอกจากเพื่อนสนิทที่จะช่วยกันสุดตัว
สำหรับแขกนั้น โดยทั่วไปแขกก็ทำการประเมินเช่นกันว่างานแบบไหนควรใส่ซองเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม โดยแขกจะประเมินจากสถานที่จัดงานโรงแรมสามดาวครึ่ง หอประชุมโรงเรียน โต๊ะจีนสนามบอลโรงเรียนหรือโรงแรมหรูโอเรียนเตล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่างกัน แขกก็จะใส่ซองตามสถานที่จัดงานด้วย ถ้าเป็นโรงแรมหรูห้าดาว แถมพื้นที่งานขนาดเล็กแบบโอเรียนเตล งานมักจะ จัดแบบคอกเทล แขกสองสามร้อยคนก็เต็มเอียดแล้ว แขกผู้ได้รับเชิญก็จะใส่ซองแบบสมเกียรติพอสมควรเอาเป็นว่าช่วย ค่างานแต่เจ้าภาพอาจไม่หวังกำไรเป็นเงินก้อน นอกเสียจากคุณเป็นเซเล็บมีญาติเป็นนักการเมือง ซองจะหนักและหนาแบบ ที่กระปุกกระดาษรูปหัวใจใส่ซองไม่พอ กรณีนี้มักยกเซฟขนาดย่อมมาวางใต้โต๊ะ ซึ่งอาจน่าจะพอเหลือกำไรแต่ถ้าเป็นบุคคลทั่ว ๆ ไป ไม่คุ้มแน่นอน
ยกตัวอย่างงานที่ต่างกันอีกแบบ คือ จัดโต๊ะจีนลานฟุตบอลที่ต่างจังหวัด ประเภทโต๊ะสองสามร้อยโต๊ะ คนมางานหลัก สองสามพันคนขึ้นไป มีเวทีใหญ่ มีนักร้องมีชื่อขับกล่อมตลอดช่วงการกินอาหารและโดยมากหนีไม่พ้นประธานขึ้นกล่าวอวยพรหลายคน อวยกันเกือบชั่วโมง แอบปนหาเสียงเล็กน้อยพอกล้อมแกล้ม งานแบบนี้คนเดินเข้าออกชาวบ้านชาวช่องบ้านใกล้เรือนเคียงที่รู้จักกันมากันทั้งตลาด รวมถึงพ่อค้าหมูที่ซื้อกันประจำก็มาพร้อมภรรยาและลูก ๆ ด้วยเช่นกัน งานลักษณะนี้ ซองแต่ละซองไม่หนักมาก มักเป็นหลักร้อยและบ่อยครั้งที่ฉีกซองมานึกว่าเป็นซองผ้าป่ายี่สิบบาท เกิดขึ้นจริงและมีไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ปริมาณซองจะมหาศาล โดยมากจะเจาะก้นกระปุกซองหัวใจให้ทะลุต่อตรงลงโต๊ะไม้ที่ทำพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะงานลักษณะนี้โดยมากไม่ขาดทุน แต่มีเหลือหลักหมื่นหน่อย ๆ ถึงแม้แขกจะเยอะ ค่าอาหารโต๊ะจีนเฉลี่ยสามพันบาท ก็ยังถือว่าได้ไม่มาก
ฟอร์แมทงานที่เหมาะที่สุด ประหยัดที่สุดและได้เงินมากที่สุด โดยเฉพาะกับคู่รักที่เป็นคนธรรมดาไม่ใช่คนเด่นดังในสังคม และไม่มีญาติเป็นนักการเมือง คือ การจัดงานในโรงแรมระดับ 3 ดาวครึ่งถึง 4 ดาว
ที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวไม่ว่าจะเป็นบุฟเฟ่ต์หรือโต๊ะจีนอยู่ราว ๆ 600-900 บาท แขกที่มางานจะพอทราบค่าใช้จ่ายนี้จึงมักใส่ซองช่วยค่างานไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท และมักจะบวกเพิ่มช่วยเรื่องอื่น ๆ รวมถึงทิ้งเป็นทุนให้คู่ชีวิตไปตั้งต้นชีวิตใหม่อีก 500-1,000 บาท รวมเป็น 1,500-2,000 บาท โดยเฉลี่ย แต่โดยปกติมาตรฐานซองไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท โดยมารยาทอาจมี 500 หรือต่ำกว่านั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็มีไม่มาก ส่วนเพื่อนสนิทรวมถึงญาติผู้ใหญ่โดยตรงจากทางพ่อแม่คู่บ่าวสาวมักช่วยกันอย่างเต็มที่ ซึ่งหลายรายอาจได้เป็นทอง จากกรุของญาติ ๆ ที่ไม่อาจนำมาคิดแปรสภาพเป็นเงินได้ ควรจะเก็บไว้ในรูปของทองต่อไป
- แขกส่วนหนึ่งไม่ได้มาร่วมงานแต่ส่งซองมาร่วมยินดี โดยมากเป็นแขกไม่สนิทมาก ซึ่งมีเยอะพอสมควร โดยมากใส่ซองมาเพื่อช่วยงานนิดหน่อยตามกำลังและความสนิทจึงจะเห็นว่าจำนวนซองจะมากกว่าจำนวนแขกเสมอ
- ค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวทำให้งานนั้นแพงขึ้นมาก คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โชคดีที่เดี๋ยวนี้แขกรุ่นใหม่ไม่นิยมนัก ส่วนใหญ่จะนัด ไปต่อข้างนอกกันเองแต่ก็ควรมีไว้นิดหน่อยสำหรับแขกผู้ใหญ่
เมื่อคำนวณแล้วคู่บ่าวสาวมีโอกาสได้กำไรเป็นเงินก้อนหลักหลายหมื่นจนถึงหลักแสนได้อย่างไม่น่ากังวลว่าเงินจะไม่พอจ่าย ค่าโรงแรม หากหักค่าใช้จ่ายส่วนที่เกี่ยวข้องหลัก ๆ อย่าง Pre-Wedding แล้วก็ยังมีเงินเหลือหลักหมื่น หลายคู่รวบรัดจัดงานเช้าต่อเลี้ยงบุฟเฟ่ต์เที่ยง ซึ่งอาจทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงไม่มากเท่าไหร่ เพราะประหยัดได้เพียงค่าแต่งหน้าทำผม แต่ความรู้สึกแขกสำหรับงานเลี้ยงเที่ยง คือ ดูไม่แกรนด์ ซองที่ใส่จึงอาจดึงแบงค์ 500 ออกจากซองและนั่นมีผลต่อการกำไรขาดทุนของงานเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่างานแต่งจะจัดแบบไหน เล็กใหญ่นั้นอาจไม่สำคัญสำหรับคู่บ่าวสาว แต่การแสดงความจริงใจของคู่บ่าวสาวและเจ้าภาพต่อแขกผู้มาร่วมงานนั้นสำคัญที่สุด เพราะแขกที่มานั้นต้องเตรียมตัว ต้องใส่ซอง ต้องแต่งหน้าทำผม ตัดชุดใหม่ หลายคนเดินทางไกลจากต่างจังหวัด ต้องหยุดงานมาเพื่อร่วมแสดงความยินดี ในเมื่อแขกให้เกียรติเรามากขนาดนี้แล้ว เรายิ่งต้องให้เกียรติตอบแทนแสดงความขอบคุณมากขึ้นไปอีก ถึงแม้รู้ภายหลังว่าแขกบางคนอาจใส่ซองมาไม่มาก แต่เราก็ไม่อาจตัดสินมิตรภาพและความมีน้ำใจของแขกที่มาร่วมงานได้ งานแต่งงาน คือ งานที่ประกาศให้รู้ถึงการครองคู่ของคู่บ่าวสาว และเป็นโอกาสอันดีที่รักและมีความรู้สึกที่ดีกับคู่บ่าวสาวจะมาร่วมแสดงความยินดีและนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการแต่งงาน