กระแสของการขายทุกวันนี้ มีการขยายออกไปเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในระดับของคนที่ต้องมีเงินลงทุนมาก ต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือเฉพาะในรายที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ๆเท่านั้น ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม หรือแม้แต่ในระดับบุคคล การที่ได้เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ เป็นพ่อค้าแม่ค้าคนกลาง ก็ถือได้ว่า เป็นงานขายเพื่อให้เกิดกำไรทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย แต่สินค้าที่ขายก็ติดตลาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่หนำซ้ำยังสร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ทำอย่างไรกันล่ะ ถึงจะขายได้ ขายไว ขายหมดเร็ว รวยเร็ว เรามีวิธีมาเล่าสู่กันฟังค่ะ กับเคล็ดลับของการขาย รวยง่ายๆ เพราะขายเป็น
1.พูดดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การพูดนั้นสำคัญอย่างไร ทำไมผู้คนถึงละเลย
จริงๆแล้วการพูดเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยค่ะ ไม่แม้แต่ในแวดวงของการขายเพียงอย่างเดียว ในกลุ่มอื่นงานอื่นก็สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะการพูดเป็นส่งสารให้ผู้ฟังได้รับสารได้สะดวกและรวดเร็ว เข้าใจง่าย ตอบโต้ได้ทันที เพราะฉะนั้น การที่จะพูดให้ขายได้ จึงต้องอาศัยชั้นเชิงและมีศิลปะในการพูด ยกตัวอย่างง่ายๆ หากใครที่เข้าไปเดินเลือกซื้อของไม่ว่าจะที่ไหนก็แล้วแต่ อย่างเช่น วันนี้คุณเดินเข้าไปร้านเสื้อผ้า แน่นอนว่าคำแรกที่ได้ยินจากพนักงานหรือคนขายก็คือ สวัสดีค่ะ เชิญชมดูก่อนได้นะคะ และคุณก็จะเดินรอบๆ เพื่อดูสินค้า ส่วนพนักงานขายน่ะหรอ ก็เดินตามข้างหลังคุณมาติดๆ ถ้าเราสนใจสินค้าชิ้นไหนเป็นพิเศษ เขาก็จะแนะนำว่า ตัวนี้ราคาอยู่ที่เท่าไหร่ กี่บาท? ลดเหลือ ? เป็นงานดีไซน์ที่เลิศหรูอลังการงานสร้างนั่นนี่ ร่ายยาวเป็นหางว่าว บางทีคนฟังอย่างคุณก็จะเกิดอาการเบื่อหน่าย เพราะต้องมาฟังในสิ่งที่คุณไม่ได้ต้องการที่จะรับรู้นั่นเอง
ดังนั้น การพูดให้ขายได้จึงต้องรู้ก่อนว่าควรพูดอะไรออกไป และจำเป็นต้องฝึกหัดตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า สินค้าของเรามันตอบโจทย์อะไรกับลูกค้าได้บ้าง การแนะนำสินค้าจึงเป็นสิ่งที่มันควรต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่การพูดที่มาจากการท่องจำว่ามันคืออะไรแล้วให้ประโยชน์อะไร เราอาจจะถามก่อนว่า ลูกค้าต้องการสินค้าเพื่อไปใช้ประโยชน์อะไรหรือชื่นชอบแบบไหน สไตล์ไหนเป็นพิเศษ เช่น ในกรณีของเสื้อผ้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย เราอาจจะถามว่า คุณลูกค้าชอบสีอะไรเป็นพิเศษไหมคะ หรือ คุณลูกค้าอยากจะได้ชุดสวยๆไปใส่ในเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรคะ ตรงนี้จะทำให้เราได้ทั้งข้อมูลและแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ การขายสินค้าอื่นๆก็เช่นกัน ต้องรู้ก่อนว่า ลูกค้าอยากได้อะไร แล้วเรามีตัวเลือกให้พวกเขาไหม
2.การตั้งราคานั้นก็สำคัญ
สินค้าขายดีไม่จำเป็นต้องราคาถูกแสนถูกเสมอไป เพราะสิ่งที่ลูกค้าต้องการไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับมันคุ้มค่ากับที่จ่ายไปหรือเปล่า ?
การตั้งราคาจึงต้องอ้างอิงจากคุณภาพของตัวสินค้าเป็นหลัก การให้ความสำคัญต่อสินค้าก็จะช่วยให้สินค้าดูมีคุณค่าและน่าซื้อมาขึ้น เช่น นมสดยี่ห้อนี้ ผลิตมาจากนมโคสดแท้ 100 % คัดจากแม่โคพันธุ์ดี มีแคลเซียมและวิตามินบี12 เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ปริมาณ 200 มล.ราคาอยู่ที่กล่อง 25 บาท เงินเพียง 25 บาทแต่ได้รับคุณประโยชน์จากแคลเซียมในปริมาณที่สูง ลูกค้าก็จะคิดแล้วว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการทานแคลเซียมในรูปแบบอื่นๆ(ยา,อาหารเสริม) การเลือกทานนมอาจจะดูคุ้มค่ากว่าและสะดวกกว่า สินค้าอย่างอื่นก็เช่นเดียวกันค่ะ ต้องหาจุดเด่นของตัวสินค้าให้ได้ แล้วตั้งราคาที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าสินค้าจะมีราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง แต่ถ้าเราเอาเรื่องของคุณภาพเข้ามาเสริม ถึงคู่แข่งจะขายในราคาที่ถูกกว่า สินค้าเราก็ถือว่ายังได้เปรียบ เพราะการอาศัยจุดยืนที่คุณภาพมากกว่าราคาที่ถูกกว่านั่นเอง
3.ปิดการขาย
การสิ้นสุดการขายหรือปิดการขายที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการสนทนา หรือจำนวนสินค้าที่ขายไป แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า เขามีความพึงพอใจกับสินค้าของเรามากน้อยแค่ไหน และในอนาคตเขาจะกลับมาซื้อสินค้าของเราอีกหรือไม่
การที่เราจะมีลูกค้าประจำได้ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงแค่มีสูตรที่ดีในใจ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับการปิดการขาย โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะถูกรบเร้าจากพนักงานขาย พ่อค้าแม่ค้าหลายรายเลยทีเดียว ที่เป็นประเภทที่ว่า จะเอาเท่าไหร่? จะรับหรือไม่ ถึงจะเป็นการให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเองก็จริง แต่มันเป็นการปิดการขายที่ไม่มีศิลปะเอาเสียเลย การปิดการขายที่ดีต้องไม่ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอึดอัดใจ(ได้ถามแล้วต้องซื้อไม่งั้นเสียมารยาท อันนี้บอกเลยว่าได้ขายแค่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ แล้วเขาจะไม่แวะมาให้คุณเห็นหน้าอีกเลย) จะปิดการขายทั้งทีต้องทำให้ลูกค้าเกิดความต้องการว่าฉันจะต้องซื้อสินค้าตัวนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะเสียใจแน่ๆ คุณอาจจะบอกว่า หากคุณลูกค้าสนใจสินค้า สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์(เบอร์ติดต่อ)หรือสามารถแวะมาเยี่ยมชมได้ตลอดทุกวันจันทร์-ศุกร์หรือถ้าลูกค้าสนใจสินค้าในตอนนี้ เราก็มีโปรโมชั่นสุดพิเศษมอบให้เพื่อเป็นการขอบคุณในความไว้วางใจ เป็นต้น ซึ่งลูกค้าก็จะสะดวกใจในการตัดสินใจมากกว่า เพราะเราไม่ได้ไปกดดันว่าเขาจะต้องซื้อเท่านั้นเสมอไป เพราะท้ายที่สุดการขายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อของลูกค้าทั้งสิ้น การบีบบังคับหรือกดดัน อาจจะทำให้ลูกค้าหนีหายมากกว่าที่จะทำให้เขาสนใจในสินค้า
เอาล่ะค่ะ นี่ก็เป็นเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆในการขายที่เรานำมาฝากกันนะคะ สำหรับใครที่สนใจทางด้านนี้ ก็ลองนำวิธีข้างต้นไปปรับใช้ดูนะคะ แม้ว่าบางคนอาจจะมีเงินลงทุนน้อย หรือทำกิจการเล็กๆไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ถ้าหากมีความรู้ รู้จักวิธีการและมีศิลปะที่ดีในการขาย ไม่แน่ว่าอาจจะเพิ่มฐานลูกค้า ทำกำไรให้หมุนเวียนพัฒนาเพื่อขยับขยายให้กิจการมั่นคงในลำดับต่อไปได้.