การมีรถยนต์ไว้ใช้สักคันเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของมนุษย์เงินเดือน เพราะการมีรถยนต์หนึ่งคันจะให้ความสะดวกแก่เรามากมาย ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด เดินทางไปทำงาน การขนของ เป็นต้น ทำให้การมีรถยนต์นั้นเป็นความฝันอันดับต้น ๆ ของมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มทำงาน แต่การมีรถยนต์หนึ่งคันต้องเตรียมวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เอาไว้เป็นอย่างดี เช่น ค่าบำรุงรถ ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายนี้ไปกระทบต่อค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของตัวเองและเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหลังจากซื้อรถมาแล้ว ดังนั้น ลองมาดูกันว่าถ้าหากอยาก ซื้อรถยนต์ ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถผ่อนรถได้อย่างสบายและมีเงินเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ด้วย โดยมีวีธีการวางแผน ดังนี้
สำรวจความต้องการของตัวเองว่ารถยนต์มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตมากน้อยแค่ไหน เช่น จำเป็นต้องมีหากไม่มีอาจจะลำบากในการสัญจรไปมาได้หรือแค่อยากมีเพื่อเอามาอวดเพื่อน ๆ ที่ทำงาน เพราะรถยนต์หนึ่งคันราคาค่อนข้างสูง หากซื้อมาเพราะความอยากได้แต่ไม่มีความจำเป็นก็อาจทำให้สูญเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์
อ่านเพิ่มเติม : เงินเดือนแค่ 15,000 ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ สูงสุดได้กี่บาท
เลือกรถที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้ชีวิตของตนเองเพื่อให้ได้รถที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด เช่น เลือกรถที่ มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพราะใช้ในระยะทางที่ไม่ไกลมาก ไม่ได้ใช้งานหนัก ถือว่าค่อนข้างคุ้มเพราะช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน พื้นที่จอดรถหรือเลือกรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่เนื่องจากต้องใช้รถทำงานหนัก เช่น การเดินทางไกลบ่อย ๆ ต้องขนของจำนวนมากเป็นประจำก็จะเกิดความคุ้มค่า หากเลือกรถมาผิดประเภท นอกจากจะใช้รถได้ไม่คุ้มแล้ว ในกรณีที่ซื้อรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กเกินไปแต่นำมาใช้งานหนัก อาจทำให้รถยนต์เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
-
งบประมาณในการซื้อรถ
เมื่อตัดสินใจเลือกรถที่จะซื้อได้แล้วผู้ซื้อจะต้องมาดูว่างบประมาณที่มีนั้น เหมาะกับรถคันไหนแล้วจึงค่อยตัดสินใจ เพื่อให้ได้รถที่ไม่เกินกำลังของตัวเอง โดยส่วนมากแล้วผู้ซื้อรถมักนิยมซื้อรถยนต์ด้วยเงินผ่อน เนื่องจากการซื้อรถยนต์ด้วยเงินสดนั้นค่อนข้างยาก แต่หากสามารถซื้อรถด้วยเงินสดได้ก็จะไม่มีภาระอื่น ๆ ตามมา นอกจากค่าบำรุงและค่านำมันเท่านั้น แต่สำหรับคนที่มีเงินไม่พอหรือมีเงินพอดีกับราคารถมักจะเลือกซื้อแบบผ่อนมากกว่าเพื่อเก็บเงินสดส่วนที่เหลือไว้ใช้ยามฉุกเฉิน การซื้อรถด้วยเงินผ่อนนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ซื้อจะต้องตระหนักคือ เรื่องของดอกเบี้ย เพราะยิ่งดาวน้อยก็ยิ่งผ่อนนาน เช่น การผ่อนโดยปกติจะอยู่ที่ไม่เกิน 5 ปี แต่หากซื้อแบบดาวน์ในราคาขั้นต่ำอาจจะยืดเวลาเป็น 7 ปี ดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มตามไปด้วย เมื่อคิดคำนวรออกมาแล้วอาจจะเสียดอกเบี้ยค่อนข้างมากก็ได้ แต่ในกรณีที่ดาวน์รถในราคาที่สูงเงินผ่อนและระยะเวลาในการผ่อนก็จะน้อยลง เช่น จาก 5 ปี อาจจะเหลือเพียง 2-3 ปี เท่านั้น โดยส่วนมากค่าผ่อนรถยนต์จะเริ่มต้นตั้งแต่ 7,000 บาทขึ้นไป
-
ค่าใช้จ่ายที่จะตามมา
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนตัดสินใจซื้อรถ ผู้ซื้อจะต้องวางแผนทางการเงินเรื่องนี้เอาไว้ เพราะเมื่อได้รถมาแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นตามมาเพิ่มทันที โดยยังไม่รวมถึงเงินสำรองฉุกเฉินที่เจ้าของรถควรมี ดังนี้
- ค่าน้ำมัน ส่วนใหญ่หากใช้รถทุกวันจะมีค่าน้ำมันประมาณ 2,000-3,000 บาท ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะทางในการขับรถ
- ค่าภาษี และค่าประกัน ซึ่งเจ้าของรถจะต้องจ่ายทุก ๆ ปี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,600- 2,000 บาทต่อปี ยังไม่รวมไปถึงประกันประเภทสมัครใจที่ผู้มีรถยนต์ส่วนใหญ่นิยมทำ
- ค่าซ่อมบำรุงตามระยะทาง ซึ่งเมื่อเราใช้รถไปสักระยะจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนอะไหล่บางตัว ยางรถยนต์ ตกแล้วอยู่ที่เดือนละ1,000-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์
เมื่อนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปรวมกันเรียบร้อยแล้วนำมาหักลบกับเงินเดือนที่มี หากเหลือก็สามารถซื้อได้ แต่ถ้าหากคำนวณออกมาแล้วติดลบ อาจจะต้องรอไปก่อน
ค่าบำรุงกับรถ ข้อนี้จะแยกย่อยรายละเอียดออกมาจากข้อที่ 4 คือ ค่าบำรุงที่จะเกิดขึ้นกับรถนั้นจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ของรถด้วย เช่น หากเป็นรถญี่ปุ่นราคารถจะไม่แพงมาก พวกค่าซ่อมบำรุง อะไหล่ต่าง ๆ สามารถหาได้ง่ายในประเทศไทย ดังนั้น ค่าบำรุงจะไม่ค่อยมีปัญหากับเจ้าของสักเท่าไหร่นัก แต่ในกรณีที่ใช้รถยุโรปหรือรถที่มีราคาแพง พวกค่าซ่อมและค่าบำรุงก็จะแพงตามไปด้วย โดยเฉพาะรถยุโรปที่หากต้องเปลี่ยนอะไหล่สักครั้ง ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นประมาณ 2,000-3,000 บาท เพราะบางชิ้นต้องสั่งตรงมาจากต่างประเทศ
ดังนั้น การที่อยากมีรถไว้ใช้สักคันนั้น ผู้ซื้อจะต้องเตรียมเงินค่าใช้จ่ายเหล่านี้เอาไว้ให้เพียงพอ โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนในอนาคต เช่น กรณีที่มีเงินเดือนระหว่าง 20,000-25,000 บาท ถือว่าสามารถซื้อรถยนต์มาใช้ได้ 1 คัน แต่ ควรเป็นรถประเภท อีโค้คาร์หรือรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เนื่องจากรถประเภทนี้จะค่อนข้างประหยัดน้ำมัน ราคาไม่แพง ค่าผ่อนแต่ละเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาท เมื่อเสียค่าซ่อมจะไม่สูงมาก ไม่เกินความสามารถเจ้าของรถ ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่านี้จะต้องพิจารณาและตัดสินใจให้ถี่ถ้วนเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวันของตัวเอง หากคำนวณออกมาแล้วติดลบก็ยังไม่ควรมีรถยนต์