“เวลา 16.30 น. ของวันที่ 21 มี.ค. 59 ซึ่งเป็นเส้นตายสุดท้ายในการจ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ งวดแรกพร้อมแบงก์การันตี ปรากฏว่า บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS ไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาต ปิดฉากบทบาทฮีโร่ ที่ประมูลไลเซนส์ 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ มาด้วยราคาสูงลิ่วกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท กลายเป็นผู้ร้ายไปในทันที”
ข้อมูลจาก http://www.efinancethai.com
อ่านเพิ่มเติม : ความเคลื่อนไหวหลังการ ประมูล 4G
เริ่มด้วยผลกระทบต่อตัว JAS เอง แม้ว่า JAS ไม่จ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ และทำให้ทุกคนเสียหายก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ JAS หรือบทลงโทษที่ JAS จะได้รับนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับความวุ่นวายและความเสียหายที่ JAS ได้ก่อไว้ ผลกระทบนั้นคือ การถูกริบเงินประกันแค่ 644 ล้านบาท โดยจริงๆแล้วหาก ADVANC หรือ AIS ไม่พยายามจะยื่นข้อเสนอต่อ กสทช. ที่จะจ่ายเงิน 7.5 หมื่นล้านบาท ที่ JAS สละสิทธิคลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ ไป JAS ก็อาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายที่ทำให้ประเทศชาติเสียรายได้ตรงนี้ไปเพื่อเป็นการรับผิดชอบก็เป็นได้ นอกจากจะถูกริบแค่เงินประกัน 644 ล้านบาทแล้ว JAS ยังได้ผลดีจากการไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ อีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ JAS จะไม่ต้องเสียเงินลงทุนเพิ่มที่อาจทำให้งบการเงินของ JAS เป๋ไปเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ราคาหุ้นของ JAS เองได้ดีดขึ้นมาเรื่อยๆหลังจากมีการประกาศข่าวนี้ออกไป
การที่ JAS ไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ จะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทอื่นๆในกลุ่มอุสาหกรรม ?
การที่ JAS ไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์นั้นถือได้ว่าเป็นผลดีอย่างมากต่อกลุ่มอุสาหกรรมเนื่องจาก ทำให้กลุ่มอุสาหกรรมไม่มีคู่แข่งรายที่4 ที่จะมาแย่ง market share หรือส่วนแบ่งตลาดไป เพราะเดิมทีก็มีอยู่แล้ว 3 เจ้าใหญ่ๆด้วยกันนั้นคือ AIS ,DTAC และTRUE หากมีรายที่4 ก็จะยิ่งทำให้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในกลุ่มอุสาหกรรมน้อยลงไปอีก จะเห็นว่าหลังจากที่ข่าวเรื่องที่ JAS ไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาตออกไป ราคาหุ้นของกลุ่มสื่อสารก็ได้มีการดีดตัวขึ้นตอบรับต่อข่าวนี้ทันที แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความผ่อนคลายลงไปมากหลังจากที่ JAS ไม่มาจ่ายค่าใบอนุญาต 4G และไม่มีคู่แข่งรายที่ 4 ในอุสาหกรรมนี้แล้วอย่างแน่นอน
แต่แม้ว่ากลุ่มสื่อสารจะไม่มีรายที่ 4 อย่าง JAS เข้ามาทำให้ปวดหัวอีกต่อไปแล้ว บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันว่าการแข่งขันหลังจากนี้ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ให้บริการมือถืออยู่ตอนนี้ได้แก่ AIS ,DTAC และTRUE ก็คงจะมีการแข่งขันกันสูงขึ้นและดุเดือดกันมากกว่าเดิมเนื่องจากต้นทุนที่แพงขึ้นอย่างมากในการประมูลคลื่นครั้งที่แล้วรวมถึงประเด็นที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานอย่างการ จัดประมูล 4G คลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์รอบใหม่ในวันที่ 27 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้
โดยจะตั้งราคาเริ่มต้นประมูลที่ 75,654 ล้านบาท เหตุการณ์นี้ทำให้ต้นทุนของบริษัทที่จะรับคลื่นนี้ไปเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้แน่นอนว่าการแข่งขันก็จะต้องรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอนเพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ โดยหลายๆกลุ่มก็มองว่าการเข้ามาของ4G ในครั้งนี้อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับของผู้นำในกลุ่มอุสาหกรรมเลยก็เป็นได้
ที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงการแข่งขันที่เริ่มดุเดือดขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างเช่น การที่ AIS ได้เปิดตัวโปรโมชั่น 4G Max Speed ด้วยการอัดปริมาณการรับส่งข้อมูลมาให้อย่างเต็มที่ บนความเร็วระดับ 4G แต่ไม่มี FUP (Fair Usage Policy หรือนโยบายการใช้งานอย่างเป็นธรรม และของ package ต่างๆที่ค่ายมือถือออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละคน) ซึ่งปกติแล้วเบอร์หนึ่งอย่าง AIS จะไม่ออกโปรโมชั่นมากก่อนอีกสองคู่แข่ง ซึ่งการเปิดโปรโมชั่นใหม่นี้ สร้างกระแสให้กับผู้ใช้บริการได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
หลังดู AIS สร้างกระแสกับโปรโมชั่นใหม่ได้ไม่นาน DTAC ก็ปรับโปรโมชั่นใหม่เป็น Love & Roll ของตนที่มีอยู่เพื่อเข้าสู้กับโปรโมชั่นใหม่ของ AIS โดยการเกทับที่ปริมาณรับส่งข้อมูลที่สูงเช่นเดียวกับของคู่แข่ง และพ่วงด้วย FUP ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคิดเงินเพิ่มจากการใช้มากเกิน ซึ่งก็ทำให้ DTAC ดูน่าสนใจและเป็นที่นิยมากกว่า เนื่องจากมีความรอบคอบและมีการป้องกันการที่ลูกค้าใช้เงินเกินกำหนด ซึ่งก็เป็นผลดีต่อลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก
สิ่งที่นักลงทุนต่างกลัวกันมากที่สุด คือ เมื่อมีการแข่งขันกันมากขึ้นเช่นนี้ หากทุกฝ่ายได้นำกลยุทธ์ทุกอย่างออกมาสู้กันแล้ว ไม่ว่าเป็นการออกโปรโมชั่นใหม่ หรืออะไรก็ตาม สุดท้ายเมื่อทุกฝ่ายหมดมุขที่จะแย่งลูกค้ากันแล้ว อาจจะทำให้สุดท้ายการแข่งขันนี้ไปสิ้นสุดกันที่การทำสงครามราคา และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง บริษัทคงจะมีกำไรที่ลดลงไปอย่างมาก ไหนจะยังมีเรื่องตันทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอีก นั่นก็ยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลเข้าไปอีกว่า กลุ่มสื่อสารอาจจะไม่ใช่กลุ่มที่น่าลงทุนอีกต่อไปก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องติดตามกันต่อไป เพื่อดูแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนโดยกว้างได้