บัตรเครดิตถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ต้องถือเงินสด และยังมีช่วงเวลาสูงสุดถึง 55 วัน ที่ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยหากเราจ่ายชำระเงินคืนแบบเต็มวงเงินตามกำหนด ความสะดวกในการชำระเงินจากบัตรเครดิตที่เราได้รับบางครั้งก็ทำให้เราเกิดนิสัยในการใช้จ่ายที่เกินจำเป็นไป วงเงินบัตรเครดิตแต่ละใบก็ให้มากขึ้น 2-3 เท่าของเงินเดือนหรือรายได้แต่ละเดือน แถมบางคนยังทำบัตรเครดิตหลายใบกับหลายธนาคาร ทำให้วงเงินรวมของบัตรเครดิตสูงเป็น 10 เท่าของเงินเดือนกันเลยทีเดียว
หากเราใช้บัตรเครดิตแล้วจ่ายเงินคืนเต็มวงเงินทุกเดือน บัตรเครดิตก็จะเหมือนเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เราไว้ใช้สำหรับจ่ายเงินเท่านั้น ไม่ได้เป็นการก่อหนี้อะไร แต่หากเราใช้บัตรเครดิตแบบจ่ายเพียงบางส่วนหรือจ่ายคืนแค่ขั้นต่ำเหลือยอดค้างชำระไว้ นั่นแสดงว่าเรากำลังเริ่มก่อหนี้ เมื่อหนี้เริ่มต้นขึ้นจากก้อนเล็ก ๆ ก็มีโอกาสโตเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้ จากทั้งดอกเบี้ยที่ทางธนาคารคิดในอัตรา 20% รวมทั้งยอดใช้จ่ายที่รูดใหม่เพิ่มในแต่ละเดือนทบเข้าไปอีก บางคนมีหนี้บัตรเครดิตเต็มวงเงินที่ธนาคารให้ที่ว่า 2-3 เท่าของเงินเดือน บางคนก็เป็นหนี้เต็มวงเงินแถมมีบัตรหลายใบก็เรียกได้ว่าเป็นหนี้ก้อนโตเป็นหลายเท่าของเงินเดือน หากยังมีกำลังพอที่จะจ่ายขั้นต่ำเพื่อรักษาสถานะของบัญชีไว้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากหนี้ก้อนใหญ่นั้นมีผลทำให้ไม่สามารถชำระหนี้คืนในแต่ละเดือนได้เมื่อไหร่ บัญชีบัตรเครดิตของเราก็จะมีปัญหาทันที หากหยุดจ่ายเมื่อไหร่ ธนาคารก็จะถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ทันที ก็จะเริ่มมีการทวงหนี้ มีค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงหนี้ตามมา หากไม่ชำระคืนเกินกว่า 90 วัน ธนาคารก็จะพิจารณาบัญชีเราเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลทำให้เสียประวัติเครดิต หากอนาคตจะขอกู้เงินหรือขอสินเชื่ออะไรก็อาจจะไม่ได้รับการอนุมัติก็ได้
อ่านเพิ่มเติม : จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ คืออะไร ?
ดังนั้น หากเราเริ่มอยู่ในสถานะที่แม้การจ่ายขั้นต่ำก็ไม่สามารถทำได้ ก็ไม่ควรรอที่จะให้บัญชีมีปัญหา ควรรีบหาวิธีที่จะเคลียร์ปัญหาหนี้บัตรเครดิตนี้ทันที ปัจจุบันมีธนาคารหลายแห่งที่ให้สินเชื่อเพื่อ กู้เงินมาปิดบัตรเครดิต โดยจะเป็นรูปแบบของสินเชื่อส่วนบุคคลที่มียอดเงิน อัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาจ่ายคืนที่แน่นอน เราก็อาจพิจารณาดูว่าการกู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคลมาเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิตสามารถทำได้ และช่วยให้การจ่ายหนี้คืนของเรามีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นหรือไม่ แม้บางครั้งดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคลอาจสูงกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตก็ได้ แต่ด้วยรูปแบบการคืนเงินต่อเดือนที่น้อยลงและมีระยะเวลานานขึ้น แต่ก็มีระยะเวลาที่แน่นอน ก็ถือเป็นทางออกที่ดีเหมือนกันสำหรับคนเป็นหนี้บัตรเครดิตท่วมตัวจนจ่ายไม่ไหว
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ
สมมติ นาย ก. มีทำงานมีเงินเดือน ๆ ละ 30,000 บาท เป็นหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 3 ใบ
- ใบที่ 1 ใช้เต็มวงเงิน 60,000 บาท
- ใบที่ 2 ก็ใช้เต็มวงเงิน 90,000 บาท
- ส่วนใบที่ 3 ใช้ไป 80% ของวงเงิน คือ 72,000 บาท
- รวมหนี้บัตรเครดิต 222,000 บาท
จ่ายขั้นต่ำอยู่ทุกใบ
- ใบแรกจ่ายขั้นต่ำ 6,000 บาท เป็นดอกเบี้ย 1,000 บาท
- ใบที่ 2 จ่ายขั้นต่ำ 9,000 บาท เป็นดอกเบี้ย 1,500 บาท
- ใบที่ 3 จ่ายขั้นต่ำ 7,200 บาท เป็นดอกเบี้ย 1,200 บาท
- รวมจ่ายขั้นต่ำต่อเดือน 22,200 บาท เป็นดอกเบี้ยรวมต่อเดือน 3,700 บาท
นาย ก. มีเงินเดือน 30,000 บาท หากจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 22,200 บาท ก็จะเหลือเงินเพื่อใช้จ่ายแค่เพียง 7,800 บาท ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากที่นาย ก จะไม่สามารถชำระขั้นต่ำนี้ได้ และกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด
นาย ก. ควรหาทางออกด้วยการขอสินเชื่อบุคคลธรรมดาเพื่อมาปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดนี้ โดยหากการกู้ธนาคารเดียวไม่พอ ก็จะต้องขอกู้จากหลายธนาคาร ส่วนใหญ่สินเชื่อบุคคลธรรมจะให้วงเงินในการกู้สูงสุด 5 เท่าของเงินเดือน ในกรณีของนาย ก. ก็จะได้ที่ 150,000 บาท ซึ่งไม่พอ ต้องกู้จาก 2 ที่ จะได้เป็น 300,000 บาท หากดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 22% ระยะเวลาการผ่อนชำระ 5 ปี เงินที่ต้องผ่อนชำระคืนดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคลนี้ก็จะอยู่ที่เดือนละ 8,286 บาท ก็จะดีกว่าจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตที่เดือนละ 22,200 บาท โดยที่ก็ยังไม่เห็นทางรอดในอนาคตได้ แต่หากเลือกกู้สินเชื่อส่วนบุคคลไปปิดบัญชีบัตรเครดิต ก็ดูแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะผ่อนชำระหนี้ต่อไปได้ จากเงินเดือน 30,000 บาท ผ่อนคืนหนี้ 8,286 บาท ก็ยังเหลืออีกเกือบสองหมื่นบาทเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ดูเป็นไปได้มากกว่าเดิม
หรือมีบางคนแนะนำเป็นทางออกไว้ว่า หากคนรู้จักที่สนิทกันพอสมควรหรือญาติพี่น้องในครอบครัวต้องการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ ๆ ที่มีราคาพอสมควร เราก็อาจเสนอให้ใช้บัตรเครดิตของเราหรือเรียกว่าเป็นการขอความช่วยเหลือก็ได้ เราก็อาสาเป็นคนไปซื้อสินค้าให้เขา แล้วให้เรานำเงินสดนั้นไปคืนหนี้บัตรเครดิตของเรา เอาแบบที่สามารถคืนปิดหนี้บัตรเครดิตของเราได้เลย หลังจากนั้นก็ใช้บัตรเครดิตของเราไปรูดเพื่อซื้อสินค้าให้กับเพื่อนหรือญาติของเรา เพียงแค่นี้ก็เหมือนเราได้เริ่มต้นใหม่กับบัตรเครดิตของเรา ยอดค้างเก่าหมดไป ยอดใหม่ที่รูดก็ค่อยมาทยอยผ่อนเอาเริ่มแบบดอกเบี้ยน้อย ๆ จะได้สามารถผ่อนได้