เป็นที่ฮือฮากันเลยทีเดียวเมื่อช่วงนึงของธนาคารแห่งหนึ่ง ดอกเบี้ยเงินฝากลดลงถึง 0.00% ภายในวันเดียว คนจำนวนไม่น้อยตื่นตระหนกกันยกใหญ่ นี่ใกล้จะถึงจุดอวสานของดอกเบี้ยเงินฝากแล้วจริงหรือ แล้วเราจะฝากกับที่ไหนดีที่ทำให้เงินฝากสะสมมานานแสนนานของเราได้พอกพูนมากขึ้น มาถึงตอนนี้ ยังไงแล้วดอกเบี้ยเงินฝากก็ไม่น่าจะถึง 0.5% แน่นอน และคิดว่าคงจะอยู่กับเราไม่อีกนาน สำหรับแนวทางการลงทุนหรือแบ่งเงินแทนที่จะเก็บเงินก้อนไว้เพียงกระจุกเดียวเรามีแนวทางอีกหลายๆแบบมาแนะนำ
พอพูดถึงคำว่า ลงทุน หลายคนมักมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า แล้วเงินต้นจะหดหายไปมั้ย เพราะการลงทุนมักมาคู่กับความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอน แต่ถ้าดูดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ก็จะเห็นว่า หากเราฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากเพียงอย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน คือ เสี่ยงที่มูลค่าของเงินที่เรามีนั้นจะลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนชนะอัตราเงินเฟ้อจะช่วยลดความเสี่ยงที่มูลค่าเงินของเราจะลดลงไปได้
เมื่อพูดถึงการลงทุน อีกอุปสรรคที่ทำให้เราไม่ได้นำเงินไปลงทุนให้งอกเงยคือ การขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ทำให้กลัวและไม่รู้ว่า จะนำเงินไปลงทุนอะไรดี ตอนนี้มี 4 ทางหลักที่น่าแนะนำดังนี้
1) เงินเก็บระยะยาว เลือกฝากไว้ในสลากออมสิน ยอมฝากระยะยาว เอาไปวัดดวงกับผลตอบแทนที่น่าจะมากกว่าเงินฝากประจำทั่วๆไป
สำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง แต่ก็อยากลุ้น การออมไว้กับสลากออมสินถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะหากเราถูกรางวัลใหญ่ ก็เหมือนเราได้กำไรจากการออมมากมายมหาศาล แต่หากเราไม่ถูกรางวัลใหญ่ เราก็จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 2-3% จากการซื้อสลากออมสิน เพราะโดยสถิติแล้วการซื้อสลากออมสิน และเก็บมันไว้นานพอจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากเงินไว้กับธนาคาร แถมยังได้ลุ้นอีกด้วย
2) เงินระยะกลาง เสี่ยงได้บ้าง เอาลงกองทุนพันธบัตร แบบความเสี่ยงต่ำ (ส่วนใหญ่จะได้อยู่ที่ 2% ไม่เสียภาษี)
โดยปกติแล้วพันธบัตรรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาลนั้น จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากประจำ และมีความเสี่ยงที่ทำให้นักออม หรือนักลงทุนระยะยาวนั้นรับได้ อย่างไรก็ตามการออมไว้กับพันธบัตรนั้นจะมีระยะเวลาการถือครอง และควรเป็นการออมระยะยาวจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่มีเงินเย็น และไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินก้อนนั้นออกมาใช้จ่ายในช่วงเวลาสั้นๆ หากเราต้องการดอกเบี้ยที่ดีมีกำไรกว่าเงินฝาก การออมไว้กับพันธบัตร ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
3) เงินระยะสั้น ซื้อกองทุนรวม ได้เงินปันผล
ขอแนะนำให้เริ่มจากการลงทุนในกองทุนรวมก่อนเลยเพราะกองทุนรวมเป็นการนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ พันธบัตร หุ้นกู้ หรือทองคำ โดยมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์เป็นคนบริหารเงินให้กับเรา ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลไปเลยว่า จะไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญในการลงทุน เพียงแค่เลือกประเภทของกองทุนให้ตรงกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ อย่างถ้าลองเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เรามีเงินอยู่ 100 บาท หากนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในกองทุนหุ้นที่ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เมื่อครบ 10 ปี เงินก้อนนี้จะเพิ่มมูลค่าขึ้นเป็น 259 บาท ซึ่งพอเอามาเทียบกับการฝากไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แล้วถือว่าสูงกว่าหลายเท่าตัวเลยล่ะ
การออมเงินไว้กับกองทุนรวมนั้นมีข้อดีมากมาย เพราะนอกจากเราจะออมเงินแล้ว สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องเสียภาษี ยังสามารถนำเงินที่ซื้อกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว แต่ข้อเสียของการซื้อกองทุนรวมก็คือ ความเสี่ยงที่สูงกว่าการออมทั่วไป เทคนิคการออมก็คือ ควรซื้อแบบถัวเฉลี่ยทุกๆ เดือน และควรซื้อกองทุนที่มีเงินปันผล เพราะในระหว่างทางนอกจากเราได้ออมเงินแล้ว จะได้เงินปันผลมาใช้จ่ายอีกต่างหาก และควรเป็นการออมระยะยาวเช่นเดียวกับการออมในรูปแบบอื่นๆ จึงจะสร้างผลกำไรได้เร็วอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
4) เงินลงทุนแบบเสี่ยงสูง ลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอ โดยทยอยช้อนซื้อตอนที่หุ้นตัวนั้นๆลง
การออมแบบนี้จะได้ผลกำไรรวดเร็วที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงสูงสุดเช่นกัน เพราะหุ้นสามัญ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “หุ้น” เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้น หรือการลดลงของราคาหุ้นแต่ละรอบนั้นชวนให้เราหวาดเสียวเอาง่ายๆ แม้การออมไว้ในหุ้นจะทำให้เราได้รับผลกำไรเร็ว แต่มันก็ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่สำหรับคนที่ชอบความเสี่ยง และมีใจที่หนักแน่นมากพอ การออมไว้ในหุ้นถือเป็นทางเลือกที่ดีมาก โดยนักลงทุนหุ้นบางคนสามารถสร้างผลกำไรจนเปลี่ยนชีวิตให้ร่ำรวยขึ้นมาได้เลยก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว
สำหรับผู้ออมหรือนักลงทุน ที่มีเงิน “เย็น” การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง การลงทุนซื้อ ที่ดินนั้น ถึงแม้ว่าการซื้อในปีนี้ จะได้ราคาต่ำค่อนข้างสมเหตุสมผล อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการโอน ที่ดินถึงสิ้นปีที่ลดหย่อนให้เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน ประกอบกับราคาประเมินที่ดินลดลงโดยเฉลี่ย 15-35% ก็จะยิ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ ส่วนการซื้อ ที่ดิน เพื่อเก็งกำไรเหมาะสำหรับผู้มีเงินก้อนใหญ่ ดังนั้น ควรรอบคอบในการเลือกทำเล ผู้ฝากเงินหรือนักลงทุนไม่ต้องกังวลกับการตกต่ำของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ยังมีช่องทางอีกมากมายสำหรับการหาผลตอบแทน ยิ่งในอนาคตยังมีช่องทางการลงทุนหลากหลายรูปแบบออกมาหลากหลายให้เราได้เลือกจัดสรรเงินได้เองตามความต้องการ
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
https://k-expert.askkbank.com/KnowledgeResources/Articles/Pages/Invest_A053.aspx