หลังจากที่มีกระแสของการเปลี่ยนแปลงระบบบัตรเอทีเอ็มแบบใหม่ให้เป็นเป็นระบบชิปการ์ดไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง คราวนี้ก็เป็นคิวของบัตรประชาชนกันบ้าง ที่ล่าสุด กระทรวงการคลังได้ออกมาเผยแล้วว่า จะเปลี่ยนแปลงระบบการชำระเงินแบบใหม่โดยการใช้บัตรประชาชนในรูปแบบของ Any ID ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
Any ID คืออะไร ? ก่อนอื่นเราก็ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบใหม่ที่ว่านี้เป็นอย่างไร ? แล้วแตกต่างจากระบบเดิมอย่างไร ? เปลี่ยนเพื่ออะไร ? แล้วประชาชนอย่างเราๆจำเป็นต้องทำหรือไม่ ? วันนี้เรามีคำตอบที่นี่ค่ะ
ระบบบัตรประชาชนแบบใหม่ Any ID เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National E-Payment) ของรัฐบาล ซึ่งทางรัฐบาลต้องการข้อมูลเพื่อที่จะนำไปใช้ในการจ่ายสวัสดิการของรัฐและเกี่ยวกับการคืนเงินภาษีของกรมสรรพากรให้กับประชาชน โดยข้อมูลในบัตรประชาชนใหม่ ที่ต้องลงทะเบียนแบบ Any ID นั้น จะประกอบไปด้วย
- เลขบัตรประจำตัวประชาชนผู้ถือบัตร จำนวน 13 หลัก
- เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้
- เลขบัญชีธนาคาร (ธนาคารที่สะดวกในการรับเงินและทำธุรกรรมการเงิน)
ทำไมต้องทำ Any ID ?
นั่นก็เป็นเพราะว่า การให้สวัสดิการแก่ประชาชนแบบเดิมที่ผ่านๆมามีความยุ่งยากและใช้เวลาในการตรวจสอบดำเนินการนาน ทำให้เกิดความล่าช้า ประชาชนเดือดร้อนและไม่ทั่วถึง ถ้าเปลี่ยนเป็นระบบ Any ID นั้น จะได้รับการบริการในเรื่องของสวัสดิการ เบี้ยยังชีพ เงินบำนาญ เงินคืนภาษีจากสรรพากร เงินคืนจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้สะดวกขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น เงินจากรัฐบาลจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผ่านการกรอกข้อมูลการโอนโดยใช้เลขบัตรประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกกับระบบ Any ID ไว้ นั่นเอง
แล้วใครที่บ้างที่ต้องลงทะเบียน Any ID ? จำเป็นต้องลงทะเบียนทุกคนหรือไม่ ?
ตามจริงแล้ว กระทรวงการคลังไม่ได้กล่าวเป็นเชิงบังคับว่าต้องลงทะเบียนทุกคน แต่อยากจะขอให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจว่า การลงทะเบียนในระบบ Any ID นั้นจะช่วยในเรื่องของความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลได้สะดวกอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นการลงทะเบียนแบบสมัครใจเพื่อลดความยุ่งยากของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ประชาชนที่เห็นสมควรจะต้องลงทะเบียนบัตรประชาชนแบบ Any ID ได้แก่
- พนักงานของรัฐ
- บุคคลที่เข้ารับราชการ
- ผู้ที่รับเงินบำนาญจากรัฐบาล
- ประชาชนสูงอายุที่ต้องได้รับเบี้ยยังชีพ
- ประชาชนที่มีรายได้มากกว่า 150,000 บาทต่อปี ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับกรมสรรพากร
- หรือบุคคลที่คิดว่า ตนเองจะมีความจำเป็นในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับได้รับสวัสดิการจากรัฐบาล เช่น เกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นต้น
ดังนั้น การลงทะเบียนบัตรประชาชนแบบ Any ID จะว่าจำเป็นไหม ? ก็มีความจำเป็นสำหรับบุคคลดังที่กล่าวมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ได้รับการบริการอย่างทั่วถึง และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตนเองอีกด้วยค่ะ
สำหรับการลงทะเบียนบัตรประชาชนแบบ Any ID นั้น บางธนาคารก็เริ่มที่จะเปิดให้ใช้บริการลงทะเบียนแล้ว อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ anyid.scb หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก็มีการให้ทำแบบ คำขอลงทะเบียน Any ID และหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อมูลลูกค้า ในเบื้องต้นแล้ว เพื่อบริการให้กับประชาชนในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งดำเนินงานโดยเจ้าหน้าที่เพื่อประสานงานกับผู้นำชุมชนในหมู่บ้านนั้นๆ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันและไม่สับสน และอีกหนึ่งธนาคารคือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ก็จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าสำหรับบุคคลทั่วไปได้ ตั้งแต่วันที่ 1-14 กรกฎาคม 2559 และลงทะเบียนพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไปค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทะเบียน Any ID
ก็คือ เลขบัญชีธนาคารค่ะ ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า 1 Any ID จะสามารถผูกกับหมายเลขโทรศัพท์เพียง 1 หมายเลข และเลขบัญชีธนาคารได้เพียง 1 หมายเลขบัญชีเท่านั้น ฉะนั้นแล้วถ้าใครที่มีคุณสมบัติและมีความต้องการที่จะลงทะเบียนบัตรประชาชน Any ID นั้นจะต้องตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารที่สะดวกต่อการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือเป็นเลขบัญชีที่ท่านใช้งานบ่อยๆ หรือเป็นเลขบัญชีที่ใช้รับโอนเงินค่าครองชีพ เงินเดือน หรือเลขบัญชีที่ผูกกับบัตรนักศึกษา เป็นต้น เพื่อความสะดวกสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้นและเพื่อความมั่นใจว่า ประชาชนได้รับเงินค่าตอบแทนต่างๆแล้ว หมายเลขโทรศัพท์ก็เช่นกัน ต้องเป็นหมายเลขที่สามารถติดต่อได้และใช้งานเป็นประจำ ถ้าใครมีโทรศัพท์หลายเครื่องหลายเบอร์ ก็ควรเลือกใช้เบอร์ที่ใช้ในการติดต่องานราชการได้จะดีที่สุดค่ะ
นอกจากประโยชน์ของ Any ID ที่จะมีไว้เพื่อรับเงินช่วยเหลือและสวัสดิการจากรัฐบาลแล้ว ยังสามารถทำธุรกรรมอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ ?
คำตอบคือ ได้ค่ะ อย่างเช่น การโอนเงินข้ามธนาคาร เป็นต้น เราก็คงคุ้นเคยกันดีกับการโอนเงินข้ามธนาคารไม่ว่าจะเป็นการโอนผ่านธนาคาร ผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือผ่านระบบแอพลิเคชั่นต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัด เช่น โอนต่างธนาคารจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอน ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนทุกอย่างเป็นระบบแบบ Any ID แล้ว ก็เหมือนกับว่าเราเปลี่ยนให้ใช้ระบบธุรกรรมการเงินแบบเดียวกัน ถึงแม้ว่าแต่ละ Any ID จะผูกกับเลขบัญชีธนาคารต่างกัน แต่เวลาเราโอนจะสามารถทำได้สะดวกขึ้น สามารถโอนเงินต่างธนาคารได้โดยที่อาจจะเสียค่าธรรมเนียมในการโอนน้อยลงหรือไม่เสียเลยนั่นเอง(ต้องติดตามข่าวอัพเดตอีกที)
การลงทะเบียน Any ID นั้น ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เห็นความจำเป็นซะเท่าไหร่ แต่ในอนาคตไม่แน่ว่า เราอาจจะจำเป็นต้องใช้งาน ผ่าน Any ID ดังนั้นรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองน่าจะดีกว่านะคะ.
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลข่าวจากทางเว็บไซต์ http://manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9590000056221