จากเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ที่มีเหตุการณ์สำคัญระดับโลกอย่างการลงประชามติของสหราชอาณาจักร ในการออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปหรืออียูนั้น ได้ส่ง ผลกระทบ ไปยังทุกภาคส่วนทำให้เกิดความไม่แน่นอนไม่แน่ใจในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องค่าเงิน ตลาดหุ้น ตลาดเงิน การค้า การลงทุน การส่งออก นำเข้า แรงงาน ฯลฯ
ผลกระทบของ Brexit นี้ ได้ส่งผลมาไปถึงตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย โดยก่อนหน้านั้นนักลงทุนต่างก็พากันหนีตายนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย อย่างเช่น ทองคำและเงินดอลลาร์สหรัฐกันใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกในวันนั้น 23 มิถุนายน 2559 ต่างก็ดิ่งลงกันถ้วนหน้าไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทยของเราด้วย ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษกับค่าเงินยูโรก็มีการอ่อนค่าลงทันทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนราคาทองคำก็พุ่งแรง ดอลลาร์สหรัฐก็แข็งค่าขึ้น
ตลาดหุ้นไทยในวันนั้นหลังมีข่าวก็ดิ่งลงอย่างหนัก แม้จะดีดกลับขึ้นมาในช่วงท้ายตลาดได้ แต่สรุปในวันนั้น SET ก็ปิดตัวที่ 1,413.19 ลดลงที่ 23.21 จุด ต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,393.83 จุด มูลค่าการซื้อขายกระฉูดไปที่ 88,223.07 ล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปี 6 เดือน เลยทีเดียว ส่วนราคาทองคำในวันนั้นก็มีการผันผวนอย่างหนัก สมาคมค้าทองคำต้องมีการปรับราคาขายทองคำถึง 24 ครั้ง
หลายฝ่ายได้ออกมาให้ความเห็นต่อสถานการณ์ในครั้งนี้ ว่าจะมีผลกระทบกับประเทศไทยในวงจำกัดเท่านั้น โดยเฉพาะในตลาดเงินและตลาดทุน หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศหรือกระทรวงการคลัง น่าจะมีนโยบายในการรับมือกับผลที่เกิดขึ้นนี้ได้ โดยผลที่เห็นจะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะค่อย ๆ ปรับตัวให้สะท้อนภาพที่แท้จริงออกมา
สำหรับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนหน้านี้ นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ออกมาบอกถึง ผลกระทบของ Brexit ที่มีต่อตลาดหุ้นไทยว่า ผลกระทบ 2-3% นี้ ถือว่าไม่ได้รุนแรงอะไร ในเรื่องการค้าไม่ได้กระทบกับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์โดยตรง เพราะการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษมีสัดส่วนที่น้อยแค่ไม่เกินร้อยละ 2 ของมูลค่าทั้งหมดเท่านั้น
หลายโบรกเกอร์ก็ได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า Brexit อาจมีผลกระทบกับหุ้นในกลุ่มของการส่งออกและการท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักและการที่ SET ปรับตัวลงมาจากผลของ Brexit เป็นจังหวะดีที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความน่าสนใจ ความเสี่ยงต่ำ เพราะหลังจากการช็อคจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป สถานการณ์ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น รวมถึง SET ด้วย
ขณะนี้ผลกระทบจาก Brexit เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 ก็ค่อยคลายตัวลงไปบ้างแล้ว เนื่องจากทางธนาคารกลางของทุกประเทศต่างก็ออกมาแสดงความเชื่อมั่นในการรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจึงค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลไปได้ เมื่อปัจจัยลบผ่านพ้นไป ปัจจัยที่จะมีผลกับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ต่อไป ก็คงจะเป็นในเรื่องของผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี ที่จะทยอยประกาศกันออกมา โดยมีการคาดการณ์กันว่าหลายบริษัทในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมจะสามารถรายงานผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2 นี้ได้ ความคาดหวังนี้จึงส่งผลให้ SET ปรับตัวดีขึ้นมาได้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มที่จะประกาศผลประกอบการออกมาก็เป็นกลุ่มธนาคารที่คาดว่าราคาจะมีการปรับตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากก่อนหน้านี้ที่หุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวลดลงไปมากจนถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว สังเกตได้จากค่าพีอีที่ต่ำมากในปัจจุบัน ประกอบกับผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาส 2 นี้ มีการคาดการณ์ว่าจะออกมาดี เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หุ้นที่โบรกเกอร์แนะนำให้เลือกทยอยสะสมเพื่อเก็บเข้าพอร์ตก็เป็นหุ้นขนาดใหญ่อย่าง KBANK, SCB, KTB, BBL
- จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ส่งผลดีต่อ กลุ่มธนาคาร ก็ยังส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างด้วย ทั้ง CK, STEC และ ITD รวมถึง SCC ที่เป็นรายใหญ่ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างก็ได้รับอานิสงค์ที่ดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
- กลุ่มท่องเที่ยว ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเป็นภาคอุตสาหกรรมที่หนุนเศรษฐกิจของประเทศอยู่ตลอด ยังคงคาดการณ์ว่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวจะยังคงดีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสายการบินของประเทศอย่าง THAI ที่มีการปรับโครงสร้างขององค์กรไป จนสามารถพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ ส่วนรายใหญ่อย่าง AOT ที่มีรายได้จากสนามบินก็ได้ประโยชน์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวไทยไปแบบเต็ม ๆ เช่นกัน
- อีกกลุ่มที่ถือว่าต้องจับตามองก็เป็น กลุ่มสื่อสาร ที่ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่า ปรับตัวลดลงมากันเป็นทิวแถวจากความกดดันในเรื่องการประมูลคลื่นใหม่ แต่หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปทุกบริษัทต่างก็เดินหน้าเพื่อขยายลูกค้าหารายได้กันต่อไป กลุ่มสื่อสารก็ยังถือว่าน่าสนใจเนื่องจากยังเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดีและที่สำคัญและเห็นได้ชัด คือ ในเรื่องของเงินปันผลที่จ่ายให้สูงและต่อเนื่องด้วย Advanc ที่มีการปรับตัวลงมามากพอสมควรก่อนหน้านี้ ก็น่าเก็บสะสม
สรุปก็คือตลาดหุ้นไทยยังเป็นแหล่งที่นักลงทุนยังเลือกลงทุนได้ เนื่องจากการไหลข้าวของเงินทุนต่างชาติยังมีอย่างต่อเนื่อง จากผลของการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำของธนาคารกลางทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป และในอีกหลาย ๆ ประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกยังคงจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนในประเทศเกิดใหม่ที่ยังคงให้ผลตอบแทนสูงน่าจูงใจอยู่
อ้างอิง