ปกติเมื่อบัตรเครดิตที่เราสมัครไปได้รับการอนุมัติ ทางธนาคารจะส่งบัตรเครดิตตัวจริงทางไปรษณีย์ลงทะเบียนมาให้กับลูกค้าตามที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้กับธนาคาร เมื่อได้รับบัตรเครดิตก่อนลูกค้าจะเริ่มใช้งานก็จะต้องโทรไปเปิดบัตรหรือ activate บัตรเพื่อให้ใช้งานได้ก่อน หลังจากนั้นก็บัตรเครดิตนั้นก็พร้อมใช้งานในการรูดเพื่อใช้จ่ายได้
บัตรเครดิตอย่างที่ทราบว่าเป็นบัตรที่นอกจากจะใช้เพื่อรูดซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าต่าง ๆ หรือใช้ซื้อของผ่านออนไลน์ทางเน็ทแล้ว บัตรเครดิตยังสามารถใช้เพื่อกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม (ATM) ได้ด้วย ในกรณีที่เราต้องการเงินสดแบบฉุกเฉิน โดยการกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มด้วยบัตรเครดิตนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารจะให้เงินเรามาใช้ก่อนแล้วค่อยคืนทีหลัง เหมือนกับกรณีรูดซื้อของ แต่จะ มีค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดอยู่ ปกติที่ธนาคารคิดก็จะอยู่ที่ 3% ของยอดเงินที่กด และดอกเบี้ยจะถูกคิดตั้งแต่วันแรกที่กดเงินออกมาใช้ด้วย ดอกเบี้ยกดเงินสดจะอยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปี ดังนั้น ข้อแนะนำในการใช้บัตรเครดิตเพื่อกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มนั้น ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น และเมื่อกดไปใช้แล้วควรรีบหาเงินมาคืนโดยเร็วที่สุด เพราะดอกเบี้ยคิดตั้งแต่วันแรก หากไม่จำเป็นก็แนะนำว่าไม่ควรกดออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมสูงถึง 3% แถมดอกเบี้ยยังแพงมากด้วย
เรื่องควรหรือไม่ควรใช้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ผู้ถือบัตรควรรู้ว่าบัตรเครดิตสามารถให้กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ การใช้บัตรเครดิตเพื่อกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มจำเป็นต้องใช้รหัส ATM เหมือนกับการใช้บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม รหัส ATM บัตรเครดิต สำหรับกดเงินสดนั้น ทางธนาคารจะส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนแยกส่งมาต่างหากจากตัวบัตรเครดิตจริง เมื่อได้รับการอนุมัติในรูปแบบกระดาษคาร์บอน ลูกค้าจะได้รับรหัสเอทีเอ็มนี้ประมาณ 7 วันหลังจากได้รับบัตรจริง การส่งแยกมาก็มีจุดประสงค์ในเรื่องของความปลอดภัย เมื่อลูกค้าได้รับรหัสเอทีเอ็มแล้วก็สามารถใช้รหัสนั้น เพื่อกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ทันที
ในเอกสารที่ธนาคารแจ้งรหัสเอทีเอ็มมาจะระบุแจ้งให้ลูกค้าจำรหัสและทำลายเอกสารทิ้งทันที เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเอง หากกรณีที่ลูกค้าต้องการเปลี่ยนรหัสใหม่ให้สามารถจดจำได้ง่ายขึ้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็มได้ด้วยตัวเองที่เครื่องเอทีเอ็มของธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต โดยการเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็มใหม่จะต้องใส่รหัสเอทีเอ็มเดิมเข้าไปก่อนด้วย
สำหรับรหัสเอทีเอ็มจะเป็นรหัส 4 หลัก นอกจากควรตั้งใหม่เพื่อให้จดจำได้ง่ายแล้ว ควรต้องตั้งให้มีความปลอดภัยด้วย ข้อแนะนำในการตั้งรหัสเอทีเอ็มให้ปลอดภัยก็มีดังนี้
- ไม่ควรตั้งให้เป็นตัวเลขซ้ำกันทั้ง 4 หลัก เช่น 1111 หรือ 0000 หากทำบัตรเครดิตหาย คนเก็บได้นำไปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มก็จะเดาได้ง่ายมาก
- ไม่ควรตั้งให้เป็นตัวเลขซ้ำกัน 2 หลัก เช่น 1122 หรือจะสลับกัน 1212 แบบนี้ก็ไม่ควร เพราะถึงเดายากขึ้นหน่อย แต่ก็ยังถือว่าไม่ปลอดภัยอยู่ดี
- ไม่ควรตั้งให้เป็นตัวเลขเรียงกัน เช่น 1234 หรือ 4321 แบบนี้ก็เดาง่ายเช่นกัน
- ไม่ควรใช้วันเดือนปีเกิดมาตั้ง ควรตั้ง 4 หลักไม่ซ้ำตัวเลขกัน หรือใช้ตัวเลขอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง เช่น อายุหรือวันเกิดของพ่อกับแม่ เลขท้ายของน้ำหนักหรือส่วนสูง เป็นต้น
เนื่องจากรหัสเอทีเอ็มเป็นรหัสส่วนตัวที่ลูกค้าควรจะเป็นคนรู้รหัสนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อต้องการเปลี่ยนรหัสจึงจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง และลูกค้าต้องอย่าลืมเด็ดขาดถึงความสำคัญของ รหัส ATM บัตรเครดิต นี้ และไม่ควรให้ผู้อื่นรู้รหัสนี้โดยเด็ดขาด
มีอีกกรณีหนึ่งที่มีคนสงสัยและอยากรู้กัน ก็คือ หากทำรหัสเอทีเอ็มของบัตรเครดิตหายหรือลืมไปแล้วจำไม่ได้แต่ต้องการใช้งาน กรณีนี้ลูกค้าจะต้องติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรผ่านทาง Call Center หรือศูนย์บริการลูกค้า เพื่อให้ธนาคารออกรหัสเอทีเอ็มใหม่ให้ ทางธนาคารจะรับเรื่องและดำเนินการ ปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ลูกค้าก็จะได้รับรหัสใหม่ที่ส่งมาทางไปรษณีย์เหมือนตอนที่สมัครบัตรเครดิตครั้งแรก บางธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมด้วย มากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร เช่น
- บัตรเครดิตของเครือกรุงศรีจะคิดค่าธรรมเนียมการออกรหัสเอทีเอ็มใหม่ที่ 200 บาท
- ส่วนบัตรเครดิตของไทยพาณิชย์ การขอรหัสเอทีเอ็มใหม่ทางธนาคารจะต้องออกบัตรเครดิตให้ใหม่พร้อมรหัสเอทีเอ็มใหม่ ไม่สามารถออกเฉพาะรหัสใหม่เพียงอย่างเดียวได้และลูกค้าต้องเสียค่าบริการ 150 บาท (ยกเว้นบัตร First, Beyond Platinum ที่ยกเว้นค่าบริการ)
แต่หากลูกค้าต้องการสมัครบัตรเครดิตเพื่อใช้รูดซื้อสินค้า ซื้อของทางออนไลน์หรือใช้เป็นส่วนลดกับร้านค้าในการจัดรายการ ใช้เพื่อได้รับเงินคืนและสะสมแต้ม ไม่ได้ต้องการคิดจะกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มอยู่แล้ว รหัส ATM บัตรเครดิต ก็ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น ลูกค้าบางคนเมื่อได้มาก็ทำลายทิ้งไปเลย โดยที่ไม่ได้จำด้วยซ้ำเพราะคิดว่าไม่ได้ใช้อย่างแน่นอน หรือไม่ก็กลัวว่าจะอดไม่ได้ที่จะต้องใช้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตามหรือว่าจะใช้หรือไม่ใช้
อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญ ก็คือ ลูกค้าต้องทราบความสำคัญของรหัสเอทีเอ็มนี้ว่าเป็นรหัสที่สามารถใช้ร่วมกับบัตรเครดิตในการกดเงินสดจากหน้าตู้เอทีเอ็มได้ หากใครมีบัตรพร้อมรหัสก็จะกดเงินจากตู้ได้ทันที รหัสนี้จึงควรเป็นรหัสลับสำหรับเราคนเดียวไม่ควรบอกให้ใครรู้ และอย่าลืมทำลายเอกสารแจ้งรหัสที่ได้รับจากธนาคารทันทีด้วย