ชีวิตคู่มีอะไรมากกว่าความรัก
ชีวิตคนเรานั้นมีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามา ทั้งความรัก ความทุกข์ ความเศร้า ความเสียใจ การพลัดพราก ความโกรธ ความริษยา การเสียสละและอีกหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกที่จะผ่านเข้ามา ให้เราได้เติบโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักนำเหตุผลมาพิเคราะห์พิจารณา เพื่อนำทางให้ชีวิตเราก้าวสู่ความสำเร็จของชีวิต
ชีวิตคู่นับเป็นอีกมิติหนึ่งของชีวิต ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ชีวิตคู่ที่ดีย่อมส่งผลให้คู่ที่เลือกมาใช้ชีวิตร่วมกันประสบความสำเร็จได้ง่าย แต่ในทางตรงข้ามหากชีวิตคู่สั่นคลอนไม่มั่นคงก็อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในชีวิตคู่ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีชีวิตคู่ก็ไม่ใช่องค์ประกอบทุกอย่างของชีวิต จิตใจของคนเรานั้นต่างหากที่สำคัญ หากเราเข้มแข็งพอที่จะเรียนรู้และยอมรับกับมันเราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ภาพยนตร์ที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตได้อย่างลึกซึ้งกินใจ และแสดงให้เห็นถึงแกนของการดำรงอยู่ของชีวิตที่มีอะไรมากกว่าความรัก ร่วมถึงมุมมองของความรักของคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ในวันหนึ่งเมื่ออุปสรรคต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาก็อาจทำให้มุมมองที่คนสองคนที่เลือกใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ เรื่อง The Theory of Everything (2014) หรือชื่อภาษาไทยว่า ทฤษฎีรักนิรันดร เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของสตีเฟน ฮอว์คิง กล่าวถึงชายหนุ่มผู้มีแววว่าอนาคตจะสดใส ด้วยหัวสมองระดับท๊อปของมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของโลกอย่างอ๊อกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ แม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลาแต่กับมีเสน่ห์ทั้งกับเพื่อนฝูงและหญิงสาว ด้วยความเป็นคนมีอารมณ์ขันทำให้เข้ากับใครง่าย ช่วงเริ่มต้นของภาพยนตร์ชีวิตของสตีเฟ่นก็เป็นเช่นเดียวกับชีวิตหนุ่มสาวทั่วไป คือ สดใส มีชีวิตชีวาห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง จนพบรักกับหญิงสาวที่น่ารักชื่อเจน ไวลด์
แต่แล้วโรคร้ายที่ชื่อ Amyotrophic lateral sclerosis (ALS) ก็ได้เข้ามาคุกคามชีวิตของเขา โรคร้ายนี้ทำให้สตีเฟนค่อย ๆ สูญเสียในการควบคุมร่างกายไปทีละส่วนทีละส่วน และตายไปในที่สุด ในตอนที่รู้ว่าแฟนหนุ่มป่วยเป็นโรคร้าย เจนเลือกที่จะแต่งงานและอยู่เคียงข้างสตีเฟนในฐานะคู่ชีวิต และภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นว่าด้วยความเข้มแข็งและความรักที่เจนมีให้กับสตีเฟนได้ช่วยให้ชายหนุ่มสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ และยังสามารถคิดค้นทฤษฏีทางฟิสิกส์ที่สำคัญออกมาได้อย่างมากมายทั้งทฤษฏีหลุมดำ หรือทฤษฏีจักรวาลเชิงกายภาพ เป็นต้น
อย่างไรก็ดีภาพยนตร์ยังได้สะท้อนถึงความจริงในชีวิตคู่ที่ไม่มีคู่ใดใช้เพียงความรักและความอดทนเพื่อนำพาชีวิตคู่ไปให้ตลอดรอดฝั่งได้ ชีวิตคู่ของสตีเฟนก็เช้นเดียวกัน สุดท้ายเจนก็พ่ายแพ้กับความปราถนาที่จะมีชีวิตอย่างผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ได้รับความรักและการดูแลจากผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ในขณะที่สตีเฟนเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงปราถนาที่เกิดขึ้นกับภรรยา และเลือกที่จะเป็นเดินออกมาจากชีวิตของภรรยาเอง ด้วยการเลือกพยาบาลประจำตัวมาเป็นภรรยาคนที่ 2 แต่แม้ว่าชีวิตคู่จะจบสิ้นไป แต่ทั้งสตีเฟนและเจนก็ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ตลอดไป
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่นำเรื่องราวของชีวิตมาบอกเล่าได้อย่างมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากคือเรื่อง About time (2013) หรือ ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก (ชื่อไทย)
แม้ว่าภาพยนตร์จะกล่าวถึงเรื่องเหนือจินตนาการอย่างการย้อนเวลาได้ของตัวเอก คือ ทิม เลค ที่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ซึ่งหากอ่านแค่คำโปรยของหนังไม่เข้าไปดูแล้ว เราอาจเข้าใจว่าเป็นหนังรักสบาย ๆ ที่พระเอกย้อนเวลากลับไปกลับมาจนสามารถเอาชนะใจของนางเอกได้สำเร็จ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในชีวิตคู่มันไม่ได้มีเพียงแค่ความรัก ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาก็เช่นกัน นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังบอกอีกว่าบางครั้งการย้อนเวลาได้ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตได้ ไม่มีอดีตใดที่เมื่อเราได้แก้ไขไปแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหรือเป็นไปอย่างที่เราต้องการ เช่น การย้อนเวลากลับไปช่วยน้องสาวกลับทำให้เพศของลูกที่ทิมรักเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าลูกคนเดิมของเขาหายไป และเขาได้ลูกคนใหม่เข้ามาในชีวิตแทน ซึ่งทำให้เขาต้องปรับตัวปรับใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว
นอกจากนี้หนังยังกล่าวทิ้งท้ายถึงสัจธรรมในชีวิตที่เราทุกคนไม่สามารถหนีพ้นนั้นก็คือความตาย แม้ว่าจะสามารถย้อนอดีตไปแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ทั้งทิมและพ่อก็ไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทิมโชคดีที่สามารถย้อนเวลากลับไปบอกลาพ่อได้ ได้ย้อนกลับไปดูช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิตที่เคยมีกับพ่อได้อีกครั้ง ต่างจากเราทุกคนที่ไม่สามารถย้อนเวลาไปทำอย่างในภาพยนตร์ได้ ดังนั้น จงทำทุกช่วงชีวิตให้ดีที่สุด เพราะเมื่อมันดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงมันอีกต่อไป