เมื่อคุณพ่อคุณแม่มีลูกสิ่งที่นอกเหนือจากปัจจัย 4 (อาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค) ที่ต้องเตรียมให้กับลูกน้อยนั้นก็คือประกันสุขภาพ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ในประเทศไทยนั้นไม่ดีเพียงพอ (ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่มีกำลังที่จะจ่าย มักจะมีความเห็นแบบนี้ เพราะท่านคงไม่อยากให้ไปรอคิวนาน ๆ และได้ยาที่ทำให้ลูกของคุณหายป่วยช้า) ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกของคุณได้อยู่ในสภาพแวดล้อมการักษาที่ดี ได้เจอหมอที่เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลก็จะมีราคาแพงไปด้วย
การทำประกันจึงเป็นเสมือนการซื้อความเสี่ยง ที่จะจำกัดจำนวนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ให้สูงทะลุเพดานค่าใช้จ่ายที่มักเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าคุณพ่อคุณแม่ซื้อแล้วได้ใช้ก็ถือว่าได้ผลประโยชน์ แต่ถ้าซื้อแล้วไม่ได้ใช้ก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว เพราะลูกน้อยของท่านไม่เจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุดีที่สุด ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องราวร้าย ๆ กับลูกเช่นกัน
การทำประกันของเด็กสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่แรกเกิด หลายคนเลือกที่จะทำทันทีเพราะถ้ารอ และเกิดเป็นโรคบางประการแล้ว การทำประกันจะไม่คุ้มครองซึ่งจะทำให้เสียโอกาส แต่หลายคนก็เลือกที่จะรอให้ทำช่วงเวลา 1 ขวบขึ้นไป หรือ ช่วงเวลาที่จะส่งเด็กไปเนอสเซอรี่ หรือ โรงเรียนช่วงเวลาใกล้ ๆ 3 ขวบ ราคาค่าเบี้ยนั้นสูงมาก ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันหรือตัวแทน
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรเลือกประกันที่มีแต่นอนโรงพยาบาลอย่างเดียว (IPD) เพราะราคาเบี้ยจะถูกกว่าแบบที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล (OPD) แต่บางครั้งเด็กๆ อาจจะแค่ล้มหัวแตก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายก็สูงเช่นกัน หรือภายใน 1 ปี ถ้าไปโรงเรียนอาจจะต้องป่วยติดจากเพื่อน ๆ หลายครั้ง อาจจะไม่คุ้มก็ได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่พอจะมีกำลังทรัพย์ก็น่าสนใจที่จะสมัครแบบที่ดีที่สุด แต่ไม่ให้ค่าใช้จ่ายเกินตัวจนเกินไป
โดยหลักแล้วก่อนที่จะเริ่มทำประกันให้กับลูกน้อย เทคนิคสั้น ๆ ที่ควรทำคือ
- ควรศึกษาข้อเปรียบเทียบหลาย ๆ ยี่ห้อ เพื่อดูข้อดีข้อเสียของแต่ละที่ โดยสอบถามจากบริษัทตัวแทนประกันโดยตรง
- สอบถามจากบรรดากลุ่มพ่อแม่ ที่เคยทำประกันไปแล้ว ว่ายี่ห้อไหนที่ดีกับเด็ก ๆ ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นประสบการณ์จริงของพ่อแม่ที่สมัคร พวกเขาย่อมรู้ดีและแนะนำเราได้ดีทีเดียว อีกทั้งพวกเขายังบอกความจริง เพราะบางทีถ้าถามจากบริษัทประกันพวกเขาก็จะตอบแต่ข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียแทบจะไม่มีเลย แต่ถ้ารับฟังความเห็นจากกลุ่มพ่อแม่ผู้มีประสบการณ์จริงจะได้รับฟังในส่วนของข้อเสียให้มาเปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี
- ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่รวบรวมความเห็นของผู้บริโภค เช่น pantip.com เพราะจะมีคนที่เขียนความเห็นทั้งดีและไม่ดีให้เราได้อ่านกัน แต่ก็ต้องระวังบริษัทประกันมาเขียนเชียร์เช่นกัน
ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทยอดฮิต สรุปแบบให้เข้าใจง่าย ๆ ตามด้านล่าง ดังนี้
-
AXA แผน 2 International Exclusive
คุ้มครองกรณีนอนโรงพยาบาล(IPD) ในหมวดของค่าห้อง จ่ายตามจริงเป็นห้องเดี่ยวทุกโรงพยาบาลที่เป็นราคาเริ่มต้น ไม่ได้จำกัดจำนวนเงิน ค่าใช้จ่ายที่เหลือเหมาจ่าย กรณีไม่ต้องนอนโรงพยาบาล(OPD) จ่ายตามจริง ไม่จำกัดจำนวนต่อครั้ง หรือกี่ครั้งต่อปี เบิกค่าวัคซีนได้ (แต่ต้องจ่ายเบี้ยมาแล้ว 2 ปีติดต่อกันก่อน) เหมาจ่ายในวงเงินรวม 74 ล้านบาทต่อปี อายุ 0-5 เบี้ย 49,340 บาท จุดเด่นอยู่ที่เด็กสมัครคนเดียวได้
อ่านเพิ่มเติม > คลิก <
-
LMG (A Liberty Mutual Company) แผน Silver
คุ้มครองกรณีนอนโรงพยาบาล(IPD) ในหมวดของค่าห้อง 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่เหลือเหมาจ่าย กรณีไม่ต้องนอนโรงพยาบาล(OPD) จ่ายตามจริง ไม่จำกัด จำนวนต่อครั้ง หรือกี่ครั้งต่อปี เหมาจ่ายในวงเงินรวม 5 ล้านบาท แผนนี้ต้องมีพ่อหรือแม่สมัครร่วมกับลูกด้วย ส่วนลูกจะมีมากว่า 1 คน สมัครรวมกับพ่อแม่ได้ไม่จำกัดจำนวน อายุ 0-5 เบี้ย 27,108 บาท รวมอาการ สมมุติ แม่อายุ 26-30 เบี้ย 35,140 บาทจุดเด่น ของแม่หลังจากทำประกัน 1 ปี สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ 1 แสนบาท ดังนั้นถ้าคุณแม่คนไหนตั้งใจไว้ว่าอยากจะมีลูกอีก 1 คนจึงเหมาะที่จะทำประกันแผนนี้
อ่านเพิ่มเติม > คลิก <
3.MSH แผน 1
คุ้มครองกรณีนอนโรงพยาบาล(IPD) ในหมวดของค่าห้อง จ่ายตามจริงเป็นห้องเดี่ยวทุกโรงพยาบาลราคาเริ่มต้นไม่เกิน 5,440 บาทต่อคืน ค่าใช้จ่ายที่เหลือเหมาจ่ายปีละ 32 ล้านบาท แผนนี้ต้องมีพ่อหรือแม่สมัครร่วมกับลูกด้วย ส่วนลูกจะมีมากว่า 1 คน สมัครรวมกับพ่อแม่ได้ไม่จำกัดจำนวน เด็ก 0-17 เบี้ย 13,203 บาท สมมุติ ผู้ใหญ่ 25-29 เบี้ย 17,840 บาท จุดเด่น เน้นกรณี IPD ค่าเบี้ยไม่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับ AXA LMG
อ่านเพิ่มเติม > คลิก <
หมายเหตุ รายละเอียดเงื่อนไขความคุ้มครอง และข้อยกเว้น ของทุกแผนสามารถติดต่อได้ที่บริษัทประกันที่ท่านสนใจอีกครั้งหนึ่ง
หลายครั้งที่ตัวแทนประกันของท่านมักจะเร่งให้ท่านทำประกัน ด้วยเทคนิคปิดการขายที่ว่า “รีบหน่อยนะ เพราะเดือนหน้าเบี้ยจะขึ้น” ขอให้ท่านอย่าสนใจ เราควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ถ้าดีค่อยทำ แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องเกรงใจปฏิเสธไป อย่าให้ตัวแทนมาบีบคั้นการตัดสินใจของเรา หรือ “ใช้ข้ออ้างต้องขอเอกสารประวัติผู้ป่วยจากโรงพยาบาล เป็นระยะเวลานาน” ซึ่งจริง ๆ แล้วการขอประวัตินั้นเป็นไปตามกระบวนการ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล ในจุดนี้อยากให้ตัวแทนหลาย ๆ คนมีจรรยาบรรณในการขายประกันด้วยเช่นกัน