แนวคิดการใช้ชีวิตของคนรวย กับคนจนต่างกันอย่างไร เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังคงสงสัยไม่น้อย นั่นเป็นเพราะปัจจุบันสังคมในบ้านเรา ยิ่งจะเห็นความแตกต่างชัดเจน ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายและการใช้ชีวิตแบบไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ที่คนจนต่างก็เห็นว่า เป็นการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ที่ดูแสนสบายเหลือเกิ๊น…เห็นแล้วทำให้คนจนบางคนเกิดความอิจฉา และทำให้อยากจะมี อยากจะร่ำรวยเหมือนอย่างเค้าบ้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น นักศึกษา และคนทำงาน ที่ต่างก็ยกระดับตัวเอง จากที่ไม่ค่อยมีอะไร ก็ทำให้ดูเหมือนว่ามีมากมาย ที่ดูแล้วเป็นเพียงกระแสของค่านิยม ที่เห่อตามเพื่อนๆ เพราะกลัวจะน้อยหน้า
จะว่าไปแล้วเท่าที่เห็นการกระทำของสังคมคนรวยกับคนจน ก็ทำให้เราได้รู้แนวคิดที่ต่างกันแบบคนละขั้ว คนจนอาจจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจนมาก และก็สามารถใช้ชีวิตได้ไปวันๆ แต่อยากจะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น จึงต้องหาทุกวิถีทางและมักจะใช้เงินเกินตัวจนเป็นหนี้ ผิดกับคนรวยที่แม้จะใช้เงินแต่ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยมาก เพราะพวกเขามีความคิดในเรื่องการหาเงินอยู่ตลอดเวลา…
คนจนชอบความสบายแต่คนรวยชอบความเสี่ยง
คนบางคนที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมักจะคิดว่า ชีวิตในทุกๆ วันนี้ ไม่ต้องขวนขวายอะไร สบายดีอยู่แล้วแค่ไม่มีหนี้สินก็พอ แค่ทำ งานกินเงินเดือนเป็นลูกจ้างก็มีความสุขดี ส่วนคนรวย มักคิดว่า การลำบากก่อนน่าจะดีกว่า แล้วความสบายคงจะตามมาทีหลัง คือเรื่องที่มีความจำเป็นมากพวกคนรวยมักจะยอมเสี่ยงเพราะมันเป็นหนทางที่พวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จในอนาคต ยิ่งหากที่จะต้องเริ่มทำธุรกิจ สำหรับมือใหม่ใจถึงอย่างพวกคนรวย ๆ ที่ไม่ชอบเป็นลูกน้องใคร ทำให้ตัดสินใจยอมเสี่ยงที่จะลงทุนเองและเชื่อว่าซักวันต้องประสบความสำเร็จ ถึงแม้ตอนแรกๆ จะยังไม่มีกำไรและยังไม่มีเงินเข้ามาหมุน เวียนก็ตาม ซึ่งคนรวยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเมื่อเทียบกับเงินที่เขามี ไปกับรถหรูราคาแพงๆ เพราะคนพวกนี้รู้ว่าทรัพย์สินอะไรที่ซื้อมาแล้วไม่ทำให้เกิดประโยชน์หรือไม่งอกเงย แม้คนรวยบางคนจะซื้อของแพงเวอร์ แต่พวกเขาก็จะรีบหาเงินมาชดเชยในส่วนที่ขาดมากที่สุด ซึ่งเขาจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าเพื่อให้ได้ผลกำไรงอกเงยจากการใช้เงิน คนจนบางคนที่ไม่ค่อยมีทรัพย์สินแต่กลับใช้เงินเกินตัว และซื้อแต่สิ่งที่ไม่ได้ก่อประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นของฟุ่มเฟือยและตามกระแสค่านิยมมากกว่า
คนจนไต่เต้าเพื่อเงินและเลื่อนตำแหน่ง แต่คนรวยตั้งบริษัทเพื่อเรียนรู้และหวังผลกำไร
คนจนที่ทำงานในบริษัท ส่วนใหญ่ก็ทำงานเก็บเงินและตั้งใจสร้างผลงาน เพื่อที่จะรอก้าวไปสู่การเลื่อนตำแหน่ง และเติบโตในบริษัทของคนอื่น แต่คนรวยกลับมีแนวคิดว่าการเปิดบริษัทเป็นการสร้างบันไดขึ้นมาเพื่อให้คนจนได้ปีน และทำงานเพื่อพวกเขา และหาเงินให้พวกเขา โดยที่พวกคนรวยไม่ต้องทำงานเอง ทำให้คนจนบางคนมีโอกาสเปลี่ยนงานบ่อยมาก เมื่อมีบริษัทได้ยื่นข้อเสนอเงินเดือนที่สูงกว่า เพราะคนจนเหล่านี้ทำงานเพื่อเงิน แต่สำหรับคนรวยจะทำงานเพื่อเรียนรู้ เพื่อประสบการณ์และหวังกำไรในอนาคตเพื่อให้ธุรกิจได้เติบโต ยิ่งในช่วงแรก ๆ แม้ว่าจะได้เงินน้อยแต่หากมีทักษะและประสบการณ์ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคตก็ได้
คนจนได้แต่คิดแต่คนรวยคิดแล้วลงมือทำทันที
มีคนจนหลายคนที่รู้สึกว่าตัวเอง เป็นนักคิดที่ฉลาด แต่ทำไมชีวิตยังอยู่ห่างจากเป้าหมายหรือตำแหน่งที่ต้องการเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะพวกเขาอาจไม่เคยลงมือทำ ซึ่งการลงมือทำจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ บางคนมีแค่ความคิดแต่ไม่มีแรง ทำให้ได้แต่คิด และชอบรอเวลาและโอกาส ผิดกับคนรวยที่พวกเขาคิดแล้ววางแผนและตัดสินใจทำทันที โดยไม่ต้องรอ คนจนบางคนที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว แต่กลับไม่มีแรงหรือกำลังมากพอที่จะสานฝันให้กลายเป็นจริงได้ หากคิดว่าสิ่งที่จะทำมันยากและทำให้คุณเกิดความกลัวจนไม่กล้าลงมือทำ แสดงว่าอาจจะยังขาดความเข้าใจว่าชีวิตนี้เป็นเรื่องยาก แต่คนรวยกลับคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินความสามารถ หากปรารถนาสิ่งนั้นจริง ๆ และหากคุณคบกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ผลก็จะออกมาในทางที่ตรงกันข้าม หากคุณอยู่ใกล้ ๆ ใคร ก็จะคิดคล้ายๆ คนคนนั้น ซึ่งการที่คนรวยมีความคิดเหมือนคนที่สำเร็จ ก็จะทำสิ่งใดๆ ได้สำเร็จง่ายกว่านั่นเอง
คนจนเร่งสร้างหนี้แต่ คนรวยเร่งเหาเงิน
คนจนบางคนมักไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ บางคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานแลกเงิน หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา เวลาที่ได้เงินมา มักจะนำไปซื้อของเพื่อให้ตัวเองมีความสุข เหมือนกับการทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปอย่างการช้อปปิ้ง ซื้อบ้าน ซื้อของใช้ในบ้าน ซื้อรถ หรือใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยส่งผลให้คนจนบางคนกลายเป็นการสร้างหนี้สินแบบไม่ได้ตั้งตัว แต่คนที่รวย มักจะไม่ซื้อของอะไรมากเพราะจะนำเงินที่ได้มาไปลงทุนเพื่อต่อยอด คนจนเร่งสร้างหนี้สินก็จริง แต่ก็มีบางคนที่ยังรู้จักเก็บออมและคิดว่าหาเงินได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่คนรวยคิดว่าการลงทุนน่าจะมีความสำคัญมากกว่า และการหาเงินให้ได้มาก ๆ ก็เป็นรากฐานที่สำคัญของทั้งการลงทุนและการออมเงิน เพราะการออมเงินอย่างเดียวคงจะไม่พอ ทำให้คนรวยต้องหาเงินมากขึ้นเพื่อนำมาเป็นเงินออม และเงินลงทุน
คนรวยมักมีชีวิตในการจัดการบริหาร ส่วนคนจนชอบบอกให้ปล่อยไปตามชะตากรรม
คนรวยส่วนใหญ่มักตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพราะยึดหลักความจริงที่ว่า ชีวิตต้องมีการจัดการและจะต้องมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า ในการวางแผนคนรวยจะเป็นคนจัดการชีวิตตัวเอง ด้วย หาทางสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และค้นหาและดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเราออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นคนที่อดทนต่อปัญหาและจะต้องรีบแก้ไข ซึ่งคนรวยที่กล้าแก้ปัญหาจะต้องเป็นคนที่กล้าตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น แต่สำหรับคนจนมักรอฟ้า รอฝน รอโอกาสให้มันลอยมาเอง จึงเป็นสาเหตุให้คนจนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่สบาย ๆ ซึ่งอาจหมายความว่า คุณเลือกที่จะเป็นผู้แพ้ และคงไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงคุณได้
คนจนส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจทางการเงินโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลทำให้สิ่งที่ตามมาคือความไม่คุ้มค่าในการใช้เงินส่วนคนรวย จะตัดสินใจทางการเงินด้วยเหตุผลเพื่อที่จะทำให้เกิดประโยชน์และเกิดความคุ้มค่าของการใช้เงินให้มากที่สุด คนธรรมดามักตั้งเป้าหมาย ที่ค่อนข้างเป็นไปได้สูง เพราะพวกเขามักประเมินความสามารถของตนเองสูงและชอบความสบายเป็นหลัก ส่วนคนรวยชอบความเสี่ยง และตั้งเป้าสูงๆ และสามารถทำได้ด้วยความทะเยอทะยานนั่นเอง
ขอบคุณเครดิตเรื่องจาก