ธุรกิจ Start Up เป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด สามารถทำกำไรอย่างมหาศาลให้กับผู้ประกอบธุรกิจ โดยอาศัยไอเดียหรือความคิดทางธุรกิจที่แตกต่าง คิดให้ต่างหรือคิดต่อยอดหาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน หรืออาจเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครคิดถึงเลยแต่ใช้งานได้ดียิ่งดี
อ่านเพิ่มเติม : 5 เทคนิคเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Start up ของเรา
สำหรับประเทศไทยเอง ธุรกิจ Start Up ก็ถือว่ามาแรงมีคนพูดถึงกันและมีหลายคนที่อยากก้าวเข้ามาทำธุรกิจเพื่อสามารถเติบโตได้เร็ว ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนต่างก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจ Start Up มากขึ้น เพื่อเป็นการให้โอกาสกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีไอเดียในการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร มีความแตกต่าง แต่ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในปัจจุบัน เพื่อทำให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคของ Digital Economy อย่างเต็มตัว
ธุรกิจ Start Up ก็ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ของใครหลาย ๆ คน ความน่าสนใจในการเติบโตและผลกำไรที่มหาศาลหากธุรกิจประสบความสำเร็จทำให้หลายคนอยากก้าวเข้ามาทำธุรกิจ Start Up กันมากขึ้น แต่อย่างไรก็แล้วผู้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ Start Up ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การทำธุรกิจ Start Up ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จนับได้มีแค่เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่อีกมากกว่า 90% ต้องประสบความล้มเหลวและล้มเลิกธุรกิจไปในที่สุด
มีผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในการทำธุรกิจ Start Up ได้มาแชร์มุมมองไว้ในกระทู้ http://pantip.com/topic/35388455 ซึ่งหากลองได้เข้าไปอ่านดูจะเห็นว่ามีความน่าสนใจมาก โดยจั่วหัวไว้ว่าตัวเองทำธุรกิจแบบล้มลุกคลุกคลานมา และบอกว่าต่อให้ธุรกิจโตถึง 100% ก็อาจตายได้ เรามาดูกันว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
เจ้าของกระทู้ได้เล่าถึงธุรกิจ Tech Start Up ของตัวเองว่าทำธุรกิจนี้มาเป็นเวลา 7 ปี เป็นธุรกิจการทำซอฟต์แวร์ขายให้กับองค์กร เริ่มทำธุรกิจด้วยการพัฒนาซอฟต์แวร์ก่อน กว่าจะเสร็จสามารถขายได้ก็ใช้เวลากว่า 3 ปี ถึงจุดนี้มีหนี้มากถึง 60 ล้านบาท และยอดขาดทุนสะสมก็ 40 ล้านบาท เห็นตัวเลขแล้วหลายคนก็คงจะตกใจไม่ใช่น้อย ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการด้วยแล้ว ก็จะไม่ทราบว่าธุรกิจ Start Up นั้น ต้องใช้เงินลงทุนมากพอสมควรเลย ยิ่งเป็นธุรกิจที่ต้องมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ ก็ยิ่งต้องใช้งบประมาณมากขึ้น ตัวเจ้าของกระทู้เองก็เคยนึกอยู่เหมือนกันว่าธุรกิจของเขารอดมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร เมื่อมาย้อนกลับไปดูก็พบว่าอาจเป็นเพราะว่าเราต้องโตให้เร็วโตให้ทันเหมือนที่ใครหลายคนเคยให้คำแนะนำคนที่จะมาทำธุรกิจ Start Up ว่าจะต้องโต 2 เท่าใน 3 ปี หมายถึงว่า รายได้ของธุรกิจต้องโต 100% ใน 3 ปีแรก หากทำไม่ได้ก็รอดยาก หากทำได้ก็มีสิทธิ์รอดได้มาก แต่สำหรับตัวเลขธุรกิจของเจ้าของกระทู้แสดงให้เห็นว่าขนาดโต 2 เท่าใน 3 ปี อาจจะยังไม่พอ เพราะปี 2009 รายได้ 3 ล้าน ขาดทุน 10 ล้าน ปีต่อมา 2010 รายได้ 7 ล้านบาท ขาดทุน 9 ล้าน และปี 2011 รายได้ 19 ล้าน ขาดทุน 8.2 ล้าน คือ รายได้เติบโต 100% ทุกปีตามสูตร แต่ดูผลขาดทุนแทบไม่ได้ลดลงเลย
เจ้าของกระทู้ได้วิเคราะห์ธุรกิจของตัวเองที่รอดมาได้ไม่เพียงเพราะ 3 ปี ต้องดี 2 เท่า แต่ต้อง 2 เท่า cost เท่าเดิมด้วย คือ แม้รายได้โต 100% แต่ต้องคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ด้วย การเก็บเงินจากลูกค้าก็สำคัญต้องเก็บให้ได้ นี่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจ Start Up กว่า 90% ต้องล้มหายตายจากไป เนื่องจากไม่สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้นั่นเอง สำหรับธุรกิจของเจ้าของกระทู้หลังจากขาดทุนในปี 2011 ก็เริ่มทำกำไรได้ในปี 2012 เป็นต้นมา โดยรายได้ก้าวกระโดดจาก 19 ล้านเป็น 52 ล้าน ทำให้มีเริ่มมีกำไรได้ 6.9 ล้าน ปีต่อมารายได้เป็น 57 ล้าน กำไรเริ่มมากขึ้นเป็น 16 ล้าน และล่าสุดในปี 2015 ที่ผ่านมามีรายได้ถึง 65 ล้าน ส่วนกำไรก็ 20 ล้านบาทเป็นปีที่ล้างขาดทุนสะสมในปีเก่า ๆ ได้หมดและเริ่มมีกำไรสะสม
รายได้ที่ก้าวกระโดดรวมถึงผลกำไรที่เริ่มมากขึ้นก็มาจากการเน้นในจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนาขึ้นมา โดยทำให้แตกต่างทำให้ติดตั้งง่ายและใช้งานได้เร็ว รวมถึงมีระบบประมวลผลที่ช่วยทำให้งานของลูกค้าเสร็จรวดเร็วทันใจ ส่วนราคาที่ตั้งไว้เทียบกับซอฟต์แวร์ของเมืองนอกแล้วก็ถือว่าถูกกว่ามาก ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้จำนวนมากขึ้น ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยงบประมาณ นอกจากเน้นในจุดแข็งของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความแตกต่างแล้ว ยังมีเป้าหมายในการขายองค์กรไม่ได้ขายลูกค้าทั่วไปแบบ Mass จึงต้องไม่ย่อท้อพยายามกันแบบสุด ๆ เพื่อให้สามารถขายได้ มีเป้าหมายที่ใหญ่ไว้ให้พุ่งชนแล้วก็พยายามทำให้สำเร็จ ขายให้ได้ ส่วนหลังจากนี้ก็ต้องต่อยอดเริ่มมองไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงขยายฐานลูกค้าในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นด้วย
จากประสบการณ์ที่เจ้าของกระทู้นำมาแชร์จะเห็นว่าการทำธุรกิจ Start Up ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ด้วยมีเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งผลิตภัณฑ์ต้องแปลกใหม่และสร้างความแตกต่างจนลูกค้าสามารถรู้สึกได้และเลือกใช้ของเรา ทำให้ช่วงแรกอาจมีโอกาสขาดทุนหรือเป็นหนี้ได้มาก ช่วงที่สำคัญที่สุดก็เป็นก้าวปีแรก ๆ ที่ควรจะต้องเติบโตแบบก้าวกระโดดให้ได้จริง ๆ ถึงจะอยู่รอดได้ โดยที่หากต้องการมีกำไรจากรายได้ที่ก้าวกระโดดก็จะต้องควบคุมในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมด้วย
อ้างอิง http://pantip.com/topic/35388455