ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีภาพยนตร์ที่ดึงเอาอารมณ์เวิ้งว้างไร้ที่พึ่งที่เคยมีอยู่แต่ในมโนสำนึกออกมาเป็นภาพและให้ความรู้สึกได้อย่างชัดเจนเท่ากับ Gravity ที่อัลฟรองโซ คูรองค์ บรรจงเขียนบทและกำกับออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนคว้ารางวัลออสก้าร์ไปได้ถึง 7 รางวัลในปี 2013 ตั้งแต่บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมไปถึงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอย่างซานดร้า บูลล๊อคอีกด้วย
การกำกับที่ยอดเยี่ยมสามารถดึงให้คนดูเข้าถึงบทที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไม่ยากนัก หนังจึงมีทั้งความสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึกที่มาพร้อมน้ำตา แต่ภายใต้ความสนุกนั้นยังแฝงไปด้วยแง่คิดในมุมมองของการต่อสู้อย่างถึงที่สุด รวมไปถึงบทบาทความเป็นผู้หญิงและความเป็นแม่อีกด้วยเช่นกัน (คำเตือน: หากท่านยังไม่ได้มีโอกาสชมหนังเรื่องนี้ ควรหามาชมก่อนอ่านเนื้อหาด้านล่าง เพราะมีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง)
หนังว่าด้วยนักบินอวกาศหญิง ดร.ไรอัน สโตน (ซานดร้า บูลล๊อค) เข้าร่วมเดินทางในอวกาศครั้งแรกในภารกิจซ่อมกล้องฮับเบิ้ล พร้อมกับนักบินอวกาศรุ่นเก๋า โควาลสกี้ (จอร์จ คลูนี่ย์) แต่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เมื่อรัสเซียยิงมิสซายล์เพื่อทำลายดาวเทียมผิดพลาดและทำให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่ ส่งผลให้ขยะอวกาศจากการระเบิดตกอยู่ในชั้นวงโคจรที่นักบินอวกาศทั้งสองกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่พอดี ความร้ายแรงจากอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้กระสวยอวกาศถูกทำลายและนักบินอวกาศคนอื่น ๆ ก็ตายจากอุบัติเหตุในครั้งนี้
ดร.ไรอัน ถูกแรงระเบิดอัดให้พุ่งหายไปในอวกาศอันเวิ้งว้างอย่างไม่รู้ทิศทาง ในขณะที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้เลยแม้แต่จะทรงตัวให้อยู่นิ่ง ๆ เธอก็ได้รับความช่วยเหลือจาก โควาลสกี้ ทั้งคู่พยายามหาทางรอดจากข้อจำกัดทุกอย่างที่มี ด้วยการเดินทางในอวกาศด้วยสเปซสูทของโควาลสกี้ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ISS แต่ด้วยความเร็วที่ต่างกันระหว่าง ISS กับนักบินทั้งสอง ทำให้ต้องสูญเสียโควาลสกี้ไป เหลือรอดแต่ ดร.ไรอัน ซึ่งไร้ประสบการณ์ในอวกาศ แถมไม่รู้ถึงวิธีการขับเคลื่อนแคปซูลของ ISS อีกด้วย เธอต่อสู้ทุกวิถีทางจนรู้สึกท้อกับข้อจำกัดต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามาไม่ได้หยุด จนเป็นเหตุให้เธอตัดสินใจปล่อยออกซิเจนออกจากแคปซูลเพื่อฆ่าตัวตายในที่สุด
โควาลสกี้เข้ามาในมโนสำนึกในขณะที่เธอกำลังจะหมดสติ เกิดแรงขับให้เธอฮึดสู้ครั้งสุดท้าย ถึงแม้เธอจะต้องต่อสู้เพียงลำพังเพื่อผ่านอุปสรรคที่ดูเหมือนจะเกินกำลังของเธออีกมากมายก็ตาม แต่สุดท้ายเธอก็เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากภารกิจครั้งนี้
หนังเล่าเรื่องได้ง่ายและตรงไปตรงมา ตัวดร.ไรอันมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเหมือนกับเรา ๆ ไม่ได้ยกย่องว่าการเป็นนักบินอวกาศนั้นจะเป็นสุดยอดมนุษย์เหนือมนุษย์มาจากไหน หนังเผยให้เห็นชีวิตที่ไม่ค่อยสวยงามบนโลกของดร.ไรอัน ที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนเดียวอันเป็นที่รักยิ่งจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียวอย่างคนเบื่อโลก ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไบโอเมคคานิกส์ของเธอทำให้เธอมาทำงานที่ NASA และเข้าร่วมภารกิจในอวกาศที่เธอเองก็ไม่ได้มีความใฝ่ฝันเท่าไรนัก
น่าแปลกที่หนังอวกาศเรื่องนี้กลับไม่ใช่เรื่องไกลตัวกับคนธรรมดา ๆ บนโลกสักเท่าไหร่เลย แต่กลับเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญกับมันอยู่เรื่อย ๆ คนหลายคนมีวันที่หกล้มช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางครั้งก็มีคนที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือดูแล อย่างที่โควาลสกี้ดึงตัว ดร.ไรอัน จากการเกือบหลุดหายไปในอวกาศ คอยปลอบใจระหว่างสเปซวอล์ก รวมไปถึงให้คำแนะนำที่ดีแก่ดร.ไรอันในการใช้ชีวิต เมื่อมาถึงวันหนึ่งที่จะต้องบินเดี่ยวไม่มีใครเป็นที่พึ่ง หลายคนอาจท้อกับปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามาไม่หยุดจนคิดจะหาทางออกด้วยการล้มเลิก แต่สายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นอย่างครอบครัวยังช่วยฉุดรั้งให้ต้องสู้ต่อ ถึงแม้คนในครอบครัวนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่จริงแล้วเหมือนลูกสาวที่เสียชีวิตไปของดร.ไรอัน การดึงสติกลับมาทำให้เริ่มเห็นทางสว่าง ปัญหาที่เข้ามาถึงแม้จะยิ่งใหญ่และรุนแรงก็สามารถรับมือได้ ความเชี่ยวชาญของดร.ไรอันนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรอดชีวิต แต่เป็นเพราะสายสัมพันธ์ครอบครัวและคนรอบข้าง ดึงสติของเธอให้ตื่นรู้ เปลี่ยนมุมมองต่อโลกของดร.ไรอัน และทำให้เธอต่อสู้อย่างไม่ท้อถอย เมื่อคิดในอีกแง่มุมหนึ่งที่หนังไม่ได้นำเสนอไว้ ลูกสาวของเธอก็เป็นเหมือน Gravity หรือแรงโน้มถ่วงที่แท้จริงในการทำให้เธอกลับสู่พื้นโลกได้ในที่สุด เป็นคุณแม่ที่มีพลังใจในการสู้ชีวิตต่อไปได้
จากหนังเราจะเห็นได้ชัดว่าทัศนคติหรือมุมมองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคนเรานั้น สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบได้จริง ๆ แต่สิ่งที่จะประกอบรวมร่างกันทำให้เกิดมุมมองที่ดีได้นั้นเกิดจากความเป็นตัวเรา พื้นหลังของแต่ละคนย่อมไม่มีทางเหมือนกัน การสร้างมุมมองทัศนคติที่ดีนั้นจึงเกิดขึ้นจากความเป็นตัวเราเองล้วน ๆ หากเรามุ่งฝันที่จะประสบความสำเร็จใด ๆ ให้ได้นั้น ก็สามารถบอกได้ว่า เป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเราเองล้วน ๆ เช่นกัน