มีภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศไม่กี่เรื่องที่จะให้อารมณ์ความรู้สึกแบบขำ ๆ แต่อยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงจังและกดดันมาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้อย่างลงตัว ไม่รู้สึกขัดหูขัดตา แถมยังสมจริงจนคนดูเกิดอาการ “อิน” ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก The Martian เป็นเรื่องราวของผู้รอดตายจากอุบัติเหตุร้ายแรงนอกโลก พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะอยู่รอดภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดจนถึงขีดสุด ด้วยความรู้และสติของเขาสามารถทำให้เขามองเห็นหนทางและต่อสู้จนประสบความสำเร็จในที่สุด
Mark Watney เป็นหนึ่งในทีม Ares III เพื่อเข้าสำรวจ Colony หรือ Hab ที่ NASA ริเริ่มโครงการไว้แล้วบนดาวอังคาร ระหว่างปฏิบัติการบนดาวอังคารได้เกิดพายุรุนแรง ยานสำรวจจำเป็นต้องยกเลิกปฏิบัติการพายานขึ้นทันที ทำให้มาร์คถูกทิ้งไว้บนดาวอังคารเพียงคนเดียว โดยที่ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาได้ตายไปแล้วเนื่องจากเครื่องส่งสัญญาณชีพของมาร์คมีความผิดพลาด
มาร์คตื่นขึ้นจากการสลบในอุบัติเหตุ พบว่าเขาบาดเจ็บจากการถูกของมีคมแทง พร้อมทั้งเผชิญกับความจริงว่าเขาได้ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังบนดาวอังคารนี้แล้วจริง ๆ มาร์คพยายามรักษาสติและพาร่างกายที่บาดเจ็บกลับมายัง Hab ซึ่งก็พบว่าได้ถูกทำลายเสียหายไปมากจนไม่สามารถติดต่อกลับยังโลกได้ เขาได้ใช้ความอดทนในการรักษาบาดแผลของตัวเอง เมื่อเริ่มทุเลา เขาก็เริ่มหาทางเอาชีวิตตัวเองให้รอดด้วยการคิดหาวิธีในการติดต่อโลกเพื่อขอความช่วยเหลือ และต้องอยู่ให้รอดในระหว่างการรอความช่วยเหลือด้วย
เขาคำนวณแล้วว่าอาหารที่มีอยู่ที่ Habs ทำให้เขาอยู่ได้เพียง 309 วัน ในขณะที่การส่งยานกลับมาช่วยเหลือเขานั้นใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ปี การใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดไม่สามารถทำให้เขามีชีวิตรอดอยู่ได้ ด้วยความที่เขามีพื้นหลังเป็นนักชีววิทยา เขาจึงทำการทดลองเพื่อปลูกมันฝรั่งโดยใช้ดินบนดาวอังคารและปลูกภายใน Hab นั่นเองเพื่อหลีกเลี่ยงตัวแปรอื่น ๆ เขายังสร้างแหล่งเชื้อเพลิงจากกรรมวิธีทางชีววิทยาอีกด้วย แต่เขาก็พบว่าการปลูกพืชบนดาวอังคารนั้นไม่ง่ายเลย เขาเผชิญกับอุปสรรคไม่เพียงแต่อุปสรรคที่เกิดจากการทดลอง แต่ยังเป็นอุปสรรคที่เกิดจากความ “ขาด” ในทรัพยากร แม้เพียงทรัพยากรง่าย ๆ รวมถึงอุปสรรคจากสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรงของดาวอังคารอีกด้วย นอกจากเขาจะต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ
ในระหว่างที่เขาพยายามปลูกมันฝรั่งบนดาวอังคารนั้น เขาก็ได้พยายามฟื้นฟู Hab เท่าที่แรงงานมนุษย์คนเดียวจะทำได้ เพื่อหาทางอยู่รอดและติดต่อมายังโลกให้ได้ เขาพบว่าทางเดียวที่จะสื่อสารกลับมาได้คือการไปนำชิ้นส่วนจากยาน Pathfinder ที่ NASA ส่งมาเพื่อสำรวจเมื่อต้นศตวรรษที่ 21 ในที่สุดเขาก็สามารถหาทางสื่อสารกับทาง NASA ได้ด้วยวิธีการที่เขาสร้างขึ้นเองและด้วยคำแนะนำจาก NASA เขาก็สามารถสื่อสารผ่านการพิมพ์ข้อความได้ในที่สุด ซึ่งในตอนนี้เขาก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาและทีมสำรวจที่มาด้วยกันด้วยความเจ็บปวด
เหมือนอุปสรรคทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาหามาร์คไม่หยุด ทุก ๆ วันมีปัญหาใหม่ ๆ มาเสมอ ทั้งปัญหาที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยและปัญหาที่ใหญ่ระดับตัดสินความเป็นความตาย Hab เสียหายจากสภาพอากาศจนไม่สามารถกู้กลับได้ เขาไม่สามารถรอภารกิจช่วยเหลือจาก NASA ได้อีกต่อไป ทางเดียวที่จะรอดได้ คือ เขาต้องเดินทางไกลกว่า 3 พันกิโลเมตรเพื่อไปหายาน Ares 4 ให้ได้ เพื่อที่จะอาศัยยาน Ares 4 ขึ้นสู่ห้วงอวกาศเพื่อไปหายานแม่เฮอร์มีสที่วนกลับมารับเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินทางกลับยังโลก
ความน่าสนใจ คือ การช่วยเหลือตัวเองแบบตัวคนเดียวจริง ๆ ในภาวะที่วิกฤตอย่างถึงที่สุดผ่านตัวนักบินอวกาศมาร์ค ที่ในวันที่เขาแทบไม่เหลืออะไรให้เป็นสิ่งการันตีว่าเขาจะรอดชีวิตได้ กลับรอดชีวิตกลับมายังโลกและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก The Martian คือ การไม่หวังรอพึ่งปาฏิหาริย์ ซึ่งอาจเป็นการหาทางออกด้านจิตใจในยามวิกฤตของชีวิตของใครหลาย ๆ คน แต่กลับใช้สติกับความรู้และสรรพกำลังความสามารถทั้งหมด จัดการกับทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดอย่างชาญฉลาด คำนวณและวางแผนไว้อย่างแม่นยำ แม้ว่าระหว่างทางไปสู่เป้าหมายเกิดวิกฤตให้แผนล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ก็กัดฟันลุกขึ้นสู้ใหม่อย่างไม่รู้จักย่อท้อ ตัวเอกมาร์คแทบไม่ได้แสดงความรู้สึกย่อท้อหรือประหวั่นพรั่นพรึงต่อหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาเลย เขากลับใช้ปัญญาเพื่อมองเห็นล่วงรู้ปัญหาล่วงหน้า แล้วทำการป้องกันได้อย่างน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
การรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Martian อาจทำให้เรานึกถึงคำกล่าวที่ว่า “Stand up and fight like a man” ลุกขึ้นแล้วสู้อย่างลูกผู้ชาย อาจจะเป็นคำกล่าวที่มักได้ยินจากคนรอบข้างพูดเพื่อให้กำลังใจคนที่ล้ม แต่สำหรับมาร์คแล้ว เขาไม่มีใครคอยบอกให้กำลังใจเขา แต่เขาอาจบอกกับตัวเองในใจด้วยความหวังถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเขา