การมีบ้านเป็นของตนเองน่าจะเป็นความใฝ่ฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะคำพูดที่ว่าบ้านคือวิมานของเรานี่มันเป็นความจริงแท้อย่างที่สุด เมื่อทำงานเหนื่อยกลับเข้าบ้านก็รู้สึกเย็นใจ ผ่อนคลายจะนั่งนอนตรงไหนก็เป็นพื้นที่ของเราทั้งนั้น นอกจากบ้านจะให้ความรู้สึกปลอดภัยแล้ว การมีบ้านเป็นของตัวเองยังทำให้เราอุ่นใจกว่าไม่เหมือนกับการเช่าบ้านคนอื่นอยู่ ที่ไม่รู้ว่าวันไหนเขาจะไม่ให้เช่าต่อเราก็ต้องย้ายระเห็จหาที่อยู่ใหม่
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่เรียนจบและเริ่มต้นทำงานด้วยเงินเดือนสตาร์ทหลักหมื่นต้น ๆ อดีตอยู่บ้านเช่ามาตลอด อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเองกับเขาบ้าง ทำงานกินเงินเดือนในระดับธรรมดาเหมือนคนทั่ว ๆ ไปในสังคม เงินเดือนขึ้นอย่างมากปีละแค่พันกว่าบาท ทำงานมา 3 ปีเงินเดือนก็ยังหมื่นกว่าบาทอยู่ ส่วนโบนัสก็ไม่ต้องพูดถึงหวังจะได้บ้าง แต่บริษัทก็จะไม่จ่ายมา 2 ปีแล้ว เริ่มคิดอยากจะเก็บเงินแต่ค่าใช้จ่ายที่เข้ามาในแต่ละเดือนก็ทำให้แทบจะไม่มีเงินเหลือเก็บได้เลย คิดแล้วก็อดที่จะท้อแท้ไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่มีคนเข้ามาบ่น ๆ ไว้ในกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/30403568
ยิ่งคิดที่จะรอให้มีเงินเดือนมากขึ้นหรือเก็บเงินได้มากขึ้น ราคาบ้านมือหนึ่งก็ไปไกลขึ้นทุกที เอาที่ราคาไม่แพงแค่ 3-4 ล้านบาท รายได้ก็ต้องอย่างต่ำ 3-4 หมื่นบาท ต้องรออีกถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้กับเงินเดือนที่เพิ่มปีละพันกว่าบาทแบบนี้ ส่วนบ้านมือสองส่วนมากธนาคารก็ให้กู้แค่ไม่เกิน 70-80% ส่วนที่เหลือจะเอาเงินมาจากไหน ไหนจะค่าซ่อมแซมตกแต่งบ้านอีก หรือจะเป็นทางออกอย่างอื่น เช่น หาคนกู้ร่วมก็ไม่มีอีก ขนาดพยายามทำงานเพิ่มเพื่อหารายได้เสริมอย่างมากก็ได้เพิ่มมาเดือนละ 2-3 พันบาท พอแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลทีก็หมดไปอีกหลายตังค์เลย คิดแล้วท้อแท้ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางว่าจะมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองกับเขาได้เลย
อ่านเพิ่มเติม : เงินเดือน 15,000 บาท ยื่นทำเรื่อง ซื้อบ้าน ได้จริงหรือ ?
อ่านแล้วก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยเลย แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนเลยว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมก็เป็นแบบเรานี่แหละ คือเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานมีรายได้ประจำ รอวันที่บริษัทจะขึ้นเงินเดือนให้หรือรอโบนัสประจำปี ไม่ใช่มีเราคนเดียวหรอกที่อยู่ในสถานการณ์นี้ ยังมีคนอีกมากมายที่ก็อยู่ในสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะนึกท้อแท้เราต้องลองหันไปมองรอบ ๆ ตัวเรา ยิ่งเป็นคนที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาว มาเล่าเรื่องราวให้เราได้ฟังก็ทำให้เราเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น การที่เพิ่งเริ่มทำงานมาได้แค่เพียง 3 ปี ก็ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง มีบางคนที่กว่าจะตัดสินใจซื้อบ้านสักหลังต้องทำงานเก็บเงินมานานหลายปีก็มี
อย่างที่มีคนมาตอบกระทู้ว่ากว่าจะมีบ้านหลังแรกได้ก็ตอนอายุปาเข้าไป 40 แล้ว แถมยังเป็นแค่ทาวเฮ้าส์อีกด้วย บางคนก็ทำงานมานานกว่า 6 ปีกว่าจะเริ่มซื้อคอนโดได้ นี่ขนาดเริ่มเก็บเงินตั้งแต่เดือนแรกของการทำงานเลย บางคนเข้าไปคุยกับธนาคารตั้งแต่เงินเดือนหมื่นห้า ธนาคารบอกให้รอเก็บเงินไปก่อน สุดท้ายรอนานกว่า 8 ปี เงินเดือนขึ้นมาพอสมควรถึงจะซื้อบ้านในราคา 2.2 ล้านบาทได้
หลายคนเข้ามาให้ความเห็นว่าโอกาสในการจะมีบ้านของคนเงินเดือนหมื่นต้น ๆ นี่ต้องเรียกว่าอย่าเพิ่งหวังดีกว่า ขนาดบ้านราคา 3-4 ล้านบาท เงินเดือน 3-4 หมื่นก็ใช่ว่าจะพอ เพราะนอกจากเราจะต้องผ่อนบ้านแล้ว อย่าลืมว่าเราก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างอื่นด้วย แถมบ้านเมื่อกลายมาเป็นทรัพย์สินของเราแล้ว เราก็ต้องดูแลก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลบ้านอีก คนที่เงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ นี่ถือว่ายังไม่พร้อมจริง ๆ
สิ่งที่สามารถทำได้ก่อนในตอนนี้ ก็คือ ต้องอย่าฟุ่มเฟือย พยายามหารายได้ให้มากขึ้นและเก็บเงินให้มากที่สุด หากบ้านเป็นสิ่งที่เราต้องการอยากได้จริง ๆ ให้เราตั้งไว้เป็นเป้าหมายสูงสุดและกันเงินเก็บให้ได้ นำเงินเก็บไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเอาแบบปลอดภัยหน่อยเงินต้นจะได้ไม่สูญไป สิ่งสำคัญอีกอย่าง ก็คือ เงื่อนไขในชีวิตที่เปลี่ยนไปจะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้น เราต้องเป็นคนสร้างโอกาสและเงื่อนไขเหล่านั้นขึ้นมา เช่น หากบริษัทเก่าดูตันไม่มีตำแหน่งงานให้เราก้าวหน้าขึ้นไปได้อีก เงินเดือนอย่างที่เห็นก็ขึ้นแค่นี้ แถมโบนัสไม่มีอีกก็ให้ลองพิจารณาเปลี่ยนงาน ค่อย ๆ หางานที่เหมาะกับเรา เลือกที่เราสามารถใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอด 3 ปี ในการอัพค่าตัวของเราให้ได้หรืออีกวิธีที่จะอัพเงินเดือนได้ก็ต้องเรียนต่อให้มีวุฒิสูงขึ้น อย่างมีคนมาตอบกระทู้ท่านหนึ่งถึงกับต้องยอมกู้เงินมาเรียนต่อ พอเรียนจบค่อยหาทางขยับขยายงาน เงินเดือนก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จากไม่ถึงสองหมื่น เป็นสามหมื่น สี่หมื่น ห้าหมื่นได้ในที่สุด แถมท้ายให้อีกว่าต้องพยายามพัฒนาตัวเองทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเงินก็จะตามมา อย่าคิดว่าเป็นแค่ความฝันต้องคิดว่าเราจะทำมันให้เป็นจริงให้ได้ แล้วก็ต้องลงมือทำด้วย