” ตกงาน “
ใครๆ ก็คงไม่อยากได้ยินแต่ก็ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าจะตกงานด้วยสาเหตุอะไร อาจเกษียนตามอายุ หรือบริษัทปิดตัวลง และอีกหลายๆ สาเหตุ ถ้าจะเปรียบไปแล้วตกงานก็เหมือนชีวิตคุณๆ ที่ไม่รู้แน่ๆ ว่าวันตายเราจะเป็นวันไหน นี่คือความจริงที่ทุกคนควรยอมรับ และควรเตรียมพร้อมมากกว่ามานั่งกังวลหรือกลัว ความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คือสิ่งที่เราควรทำในชีวิตจริงๆ แม้จะดูเหมือนว่าเป็นเนื้อหาธรรมะ โบราณคร่ำครึ แต่นี่คือความจริง ลองมองดูรอบๆ ตัวเราสิแล้วจะเห็นความไม่เที่ยงในชีวิต ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน สิ่งหนึ่งที่อยากนำเสนอเพื่อเตรียมตัวเผื่อพบวิกฤตการณ์ของการตกงานนี้ได้แก่ “การยอมรับที่จะเรียนรู้และทำในสิ่งที่ไม่ชอบ” ค่ะ
ขอเล่าเรื่องเล็กๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งให้อ่านนะคะ เธอคนนี้เป็นแค่จุดเล็กๆ ในสังคมอันกว้างใหญ่ของเรา แต่อยากให้ลองอ่านดูค่ะว่า ชีวิตคนเราไม่มีสิ่งที่แน่นอนจริงๆ
เธอคนนี้เติบโตมาจากสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง แค่เริ่มก็รันทดแล้วใช่ไหมคะ แต่ไม่ได้เขียนให้ดราม่าค่ะ แค่อยากเล่าว่าผู้หญิงคนนี้เธอใช้ชีวิตแบบไหนเท่านั้นเอง เธอโชคดีที่ได้เรียนเยอะกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ในความโชคดีก็มีความโชคร้ายซ่อนอยู่ เธอได้เรียนสูงกว่าเพื่อน แต่เธอก็ต้องเรียนตามใจเจ้าของทุน เพื่อที่จบมาเธอต้องมาทำงานใช้ทุนนั้นต่อไป การที่ต้องเรียนสาขาที่ตัวเองไม่ชอบ 4 ปี กับการทำงานที่ไม่ชอบอีก 3 ปีเพื่อใช้ทุน แม้เราจะคิดว่าเธอมีชีวิตที่น่าสงสาร ไม่มีทางเลือก แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอกลับมองว่าเธอน่ะมีต้นทุนมากกว่าคนอายุเท่ากันเสียอีก เพราะแม้ว่าเธอต้องเรียนวิชาที่ไม่ชอบ แต่เธอก็ยังสามารถเรียนรู้สิ่งที่ชอบได้ ถึงแม้อาจเหนื่อยเพิ่มขึ้นก็ตาม และถึงแม้เธอต้องใช้ทุน 3 ปี นั่นทำให้เธอได้ประสบการณ์เพิ่ม แม้ว่าไม่ใช่งานที่รัก แต่ก็เป็นการเรียนรู้ ได้ประสบการณ์การทำงาน และฝึกความอดทนไปด้วย ต่อมา ถ้าเธอจำเป็นต้องออกจากงาน หรือตกงาน หนทางที่เธอจะก้าวหน้าต่อไปก็ยังมีให้เลือกหลายทาง ถ้าคุณเป็นเธอคุณจะคิดแบบเธอไหม
ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ในมุมมองที่เราเกิดมามีต้นทุนในชีวิตเท่ากันแล้ว ให้ลองมองชีวิตของเธอดูดีๆ จะเห็นว่า เออแฮะ ชีวิตเธอน่าอิจฉาจริงๆ ด้วย ในขณะที่เราอายุ 25 เพิ่งเริ่มออกมาเผชิญโลกแห่งการทำงาน แต่เธอเริ่มมาตั้งแต่เด็ก เธอได้ลองทั้งการเรียนและงานที่ไม่ชอบ พร้อมกันกับการขวนขวายเรียนรู้สิ่งที่ชอบ ได้มีทางเลือกที่มากกว่าคนอื่น ในขณะที่อีกหลายๆ คนที่เลือกสิ่งที่คิดว่าชอบ แต่พอได้ลงมือทำงานจริงๆกลับกลายเป็นว่า เรารับไม่ได้ ทำแล้วไม่ใช่ตัวเรา ทนไม่ไหว สุดท้ายคือจบที่ต้องลาออก แล้วก็ต้องหางานใหม่ไปเรื่อยๆ ใช่ค่ะ นี่คือสิ่งแรกที่คนตกงานคิดออก แต่ในชีวิตจริงแล้ว งานในปัจจุบันนี้ไม่ได้หาง่ายๆ คนจบสายเดียวกับคุณมีเป็นพันเป็นหมื่น แต่ตำแหน่งงานว่างมีแค่ร้อย การที่ต้องหางานใหม่ไปเรื่อยๆ คงเป็นทางออกที่ไม่ดีเป็นแน่
หากเรามาลองเปรียบเทียบทั้งสองกรณี หากเป็นเธอที่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งอาจขวนขวายเรียนสิ่งที่ชอบไปด้วย การเปลี่ยนงานก็ไม่น่าจะทำให้เธอเป็นทุกข์ร้อนมาก เพราะได้เรียนรู้มาหลายอย่าง ทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ และเป็นไปได้ที่น่าจะเตรียมแผนล่วงหน้าในสมองไว้แล้วก่อนลาออก แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเราลาออกจากงาน เราก็ยังคลำทางชีวิตตัวเองต่อไม่เจอเลย คุณผู้อ่านคงนึกภาพตามออกได้ว่า กรณีนี้ คนหนึ่งมีแผนสำรองกันเจ็บไว้แล้ว ในขณะที่เราไม่มี เพราะเราได้เรียนตามที่ฝัน ในชีวิตมีครอบครัวคอยช่วยวางแผน อันไหนไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืนใจทำ ที่โรงเรียนทำผิดก็แค่ถูกทำโทษที่บ้านก็อาจแค่ถูกดุ ทุกที่ๆ เราผ่านมามีแต่คนที่พร้อมอภัยให้เสมอ แต่ที่ทำงานไม่ใช่ เคยได้ยินคำนี้ไหมคะ “ทำดีร้อยครั้งก็แค่เฉยๆ แต่ผิดเพียงครั้งเดียวอนาคตมืดทันที”