การออม เป็นคำไทย เริ่มแรกใช้เกี่ยวกับการออมแรง หมายถึงถนอมแรงเอาไว้ ไม่ให้โหมใช้จนหมดแรง ออมแรงไว้สำหรับทำงานในช่วงต่อๆไป เพื่อให้มีแรงในการทำงานได้ ส่วนภาษาอังกฤษใช้คำว่า saving หมายถึง กันเอาไว้ ไม่ใช้จนหมด ต่อมาคำว่าออมนี้ได้นำมาใช้เกี่ยวกับเงิน จึงเกิดคำว่า ออมเงิน ออมทรัพย์ขึ้น คำว่า ออม กับ ขี้เหนียวนั้นไม่เหมือนกัน การออมเกี่ยวกับการรู้จักถนอมเอาไว้ก่อน ไม่ใช่คนขี้เหนียวไม่รู้จักใช้หรือไม่ยอมใช้ เช่นกันกับคำว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่ได้แปลว่า ไม่มีอันจะกิน
หลายคนมีคำถามว่า จะออมเงินไปทำไม บางคนก็บอกว่า จะเอาอะไรมาออม ลำพังจะใช้จ่ายในแต่ละวัน ยังมีไม่พอ จะเอาที่ไหนมาออมอีก การรู้จักออมเป็นเรื่องของการรู้จักพอ รู้จักหยุด รู้จักความพอดีในวันนี้เพื่อให้มีกินในวันหน้า และการออมก็ทำกันแค่วันละนิด ออมทีละน้อย ไม่ใช่พอจะใช้เงินที ก็ต้องโหมออกแรง ทำงานหนักๆ เพื่อให้ได้เงินมากๆ บางคนคิดว่าตนเองมีความสามารถหากต้องการใช้เงิน ก็ทำงานพิเศษ ทำงานล่วงเวลา ก็จะได้เงินมากๆแล้ว การมีเงินมากๆกับการออมนั้น ” ไม่เหมือนกัน ” การออมถือเป็นปรัชญาแห่งความสำรวม ตรงข้ามกับสังคมปัจจุบันที่มีแต่สื่อยั่วยุให้ใช้จ่าย ให้ครอบครองข้าวของที่ผลิตออกมาจนล้นโลกและเกินความจำเป็น จนผู้คนกลายเป็นพวกวัตถุนิยม ปัจจุบันจึงไม่ค่อยมีคนสนใจการออม มีแต่จะหาโอกาสใช้เงินกันเสียมากกว่า
อ่านเพิ่มเติม : เปรียบเทียบ ออมเงินแบบไหน เหมาะกับตัวคุณ
การออมเงินมีประโยชน์หลายอย่าง ดังนี้
- เราออมเงินเพื่อให้มีเงินไว้ใช้ในอนาคต ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ป่วยไข้ ตกงาน หรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
- เราออมเงินเพื่อเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายประจำที่เป็นเงินก้อน เช่น ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าเบี้ยประกันชีวิต
- เราออมเงินเพื่อไว้เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้ตามโอกาส เช่น การซ่อมแซมบ้าน การซื้อเครื่องเรือนต่างๆ การซ่อมบำรุงรถ
- เราออมเงินเพื่อการบันเทิงในระยะสั้น เช่น ไว้เอาไปซื้อทีวี ไว้ใช้จ่ายในการท่องเที่ยว
- เราออมเงินเพื่อใช้ในการลงทุนระยะยาว เช่น ใช้ในการซื้อบ้าน
จะเห็นว่า ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำวัน แต่จะใช้จ่ายตามโอกาสและวาระที่ต่างกัน ถ้าเราไม่รู้จักเก็บออมในวันนี้ แล้วเมื่อถึงเวลาต้องใช้จ่ายตามหัวข้อข้างต้น จะเอาเงินมาจากไหน หากคิดจะกู้ คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะส่วนใหญ่ การใช้จ่ายพวกนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต และยังต้องมีภาระค่าดอกเบี้ยอีก ดังนั้นควรจะเหลือเงินไว้ครั้งละเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่อยๆทำไปทุกๆวัน สักวันก็เยอะและเป็นก้อนใหญ่เอง เทคนิคคืออย่าพยายามโหมเก็บครั้งละมากๆ เพราะอาจไปเบียดเบียนการใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ทำให้การออมนั้นไม่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอและต้องเลิกล้มในที่สุด
ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของการออมเงินที่หลายคนมักคิดไม่ถึงก็คือ การออมเพื่อรอโอกาส ทุกวันนี้เงินสามารถเข้าไปทำงานให้กับเราทั่วทุกมุมโลกผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้นว่า หากวันหนึ่งการลงทุนในทองคำเกิดเป็นกระแสขึ้นมา แล้วเราก็อยากเข้าไปฉกฉวยโอกาสนั้นด้วย แต่ถ้าเราไม่มีเงินก้อนหรือไม่มีเงินเก็บไว้เลย เมื่อคิดจะลงทุน ก็อาจสายไปเสียแล้ว แต่ถ้าเราได้เก็บออมเอาไว้เรื่อยๆ เมื่อโอกาสมาถึง เราก็สามารถโยกเงินนั้นไปลงทุนได้ทันที