หนังสือเรื่อง “คัมภีร์สุดยอดนักลงทุน สูตรมหัศจรรย์ เพื่อชัยชนะและความมั่งคั่ง” เล่มนี้เป็นหนังสือที่แปลมาจากหนังสือเรื่อง The Little Book That Still Beats The Market เขียนโดย Joel Greenblatt แปลโดย ชานันทน์ อารีย์วัฒนานนท์ ไมเคิล เอฟ.ไพรซ์ ผู้หนึ่งที่เขียนคำนิยมให้กับหนังสือเล่มนี้ ได้บอกไว้ว่า นี่เป็นหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่ดีที่สุดใน 50 ปีที่ผ่านมา
เมื่อดูที่ชื่อหนังสือกับสิ่งที่คนเขียนคำนิยมเขียนไว้แล้ว ทำให้หนังสือเล่มนี้ดูน่าสนใจมาก อ่านแล้วคิดว่า โห! คัมภีร์สุดยอดเลยหรือ มีสูตรมหัศจรรย์อะไรที่จะทำให้เรามั่งคั่งได้ แบบนี้รอช้าไม่ได้ต้องลองไปดูกันค่ะ
ผู้เขียนพยายามอธิบายเรื่องการลงทุนในหุ้นให้เข้าใจง่ายโดยนึกอยู่เสมอว่าถ้าลูกชายเขาที่กำลังเรียนอยู่เกรด 6 และเกรด 8 เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังบอก ก็แปลว่าทุกคนก็น่าจะเข้าใจได้เช่นเดียวกัน ผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวประกอบไปพร้อม ๆ กับเล่าเรื่องว่าเขาได้อธิบายเรื่องการลงทุนในหุ้นให้กับลูกชายของเขาฟังอย่างไรบ้าง
การขายหมากฝรั่งกับการลงทุน
ที่เกรด 6 ที่เด็กชายคนหนึ่งชื่อว่าเจสัน เขาซื้อหมากฝรั่งวันละ 4-5 กล่อง ๆ ละ 25 เซนต์ กล่องหนึ่งมีหมากฝรั่ง 5 ชิ้น แล้วนำหมากฝรั่งนั้นไปขายที่โรงเรียน โดยขายชิ้นละ 25 เซนต์ เท่ากับเจสันจะได้กำไรจากหมากฝรั่งกล่องละ 1 เหรียญ และถ้าเขาขายหมด 4-5 กล่องนั้น กำไรเขาถือว่าไม่น้อยเลย ผู้เขียนถือโอกาสนี้ลองถามลูกชายว่า ถ้าเจสันเสนอขายธุรกิจหมากฝรั่งนี้ครึ่งหนึ่ง โดยจะแบ่งกำไรให้ครึ่งหนึ่งตลอด 6 ปีที่เรียนอยู่ที่นี้ ลูกจะจ่ายให้เขาเท่าไหร่
หาธุรกิจที่ขายในราคาถูก
คำถามนี้แหละที่เป็นที่มาของการที่จะต้องวิเคราะห์ธุรกิจ ลูกชายเขาคิดว่าเจสันอาจขายหมากฝรั่งไม่ได้ 4-5 กล่องทุกวัน สมมติที่วันละ 3 กล่อง คือ 15 เหรียญต่อสัปดาห์ เปิดเทอม 36 สัปดาห์ต่อปี เรียนทั้งหมด 6 ปี ก็เท่ากับ 3,000 เหรียญ อย่างนั้นครึ่งหนึ่งก็คือ 1,500 เหรียญ แต่ 1,500 เหรียญมันสำหรับ 6 ปีข้างหน้า แถมด้วยความไม่แน่นอนอีกว่าจะขายได้ 3 กล่องทุกวันหรือไม่ ถ้ามีคู่แข่งมาขายหมากฝรั่งด้วยล่ะ สรุปก็คือราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ระหว่าง 1 เหรียญกับ 1,500 เหรียญ ลูกชายของเขาตอบว่า เขาจะซื้อธุรกิจหมากฝรั่งของเจสันที่ราคา 450 เหรียญ นี่แหละคำตอบของธุรกิจที่คุ้มค่ากับการลงทุนข้อแรกคือธุรกิจที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าของมัน
หาธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง
สมมติว่าธุรกิจขายหมากฝรั่งของเจสันขายดีจนกลายมาเป็นร้านและขยายสาขาไปทั่ว จากการตรวจสอบเราพบว่า เจสันมีค่าใช้จ่าย 400,000 เหรียญ ในการสร้างร้านหนึ่งสาขาและแต่ละสาขาก็สร้างรายได้ให้เขาปีละ 200,000 เหรียญ นั่นหมายความว่าผลตอบแทนของแต่ละสาขาต่อปีของเจสัน เท่ากับ 50% ลองเปรียบเทียบกับอีกธุรกิจของจิมโบที่ใช้เงินลงทุน 400,000 เหรียญเท่ากัน แต่ในปีหนึ่งเขามีรายได้ 10,000 เหรียญ เท่ากับผลตอบแทนต่อสาขาต่อปีของจิมโบอยู่ที่ 2.5% เมื่อเห็นแบบนี้ก็เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นแล้วว่า ธุรกิจของเจสันให้ผลตอบแทนมากกว่าของจิมโบหลายเท่าและนี่แหละคำตอบของธุรกิจที่คุ้มค่ากับการลงทุนข้อที่สอง คือ ธุรกิจที่ดีได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่สูง
สูตรมหัศจรรย์ = บริษัทที่ดี + บริษัทราคาถูก
ที่มาของสูตรมหัศจรรย์สร้างความมั่งคั่งก็มาจากคำตอบ 2 ข้อนี้ เมื่อนำมารวมกันจะได้ว่า “ซื้อบริษัทที่ดีในราคาที่ถูก” ผู้เขียนใช้เวลา 17 ปี ในการพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยการนำรายชื่อบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นต่าง ๆ ในสหรัฐมาเรียงลำดับจาก 1 ถึง 3,500 หุ้นเรียงตามผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (บริษัทที่ดี) เรียงจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากที่สุดให้เป็นอันดับที่ 1 ต่อมาให้นำ 3,500 บริษัทนี้มาเรียงใหม่โดยใช้ผลตอบแทนต่อหุ้น (ราคาถูก) โดยบริษัทที่มีผลตอบแทนต่อหุ้นสูงสุดก็จะเป็นอันดับ 1 เรียงไปแบบนี้เช่นกัน
หุ้นแต่ละตัวจะมีตัวเลข 2 อันดับ เช่น หุ้น A มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเป็นอันดับที่ 232 ในขณะที่มีผลตอบแทนต่อหุ้นเป็นอันดับที่ 153 ให้นำตัวเลขอันดับมารวมกัน เป็น 232+153 = 385 ทำแบบเดียวกันนี้กับทั้ง 3,500 บริษัท แล้วนำมาจัดเรียงใหม่เลือกเฉพาะหุ้นที่มีอันดับดีที่สุดประมาณ 30 อันดับแรก เพื่อนำผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มนั้นมาเทียบกับผลตอบจากเฉลี่ยของตลาด
ผลลัพธ์ที่ได้จากสูตรมหัศจรรย์นี้ ก็คือ ผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดระยะเวลา 17 ปีของหุ้น 30 ตัวที่ผ่านสูตรมานี้ เท่ากับ 30.8% เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 12.3% และไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไปดูผลตอบแทนในแต่ละปีตั้งแต่ปี 1988 ถึง 2004 พบว่าผลตอบแทนของหุ้น 30 ตัวนี้มากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในทุก ๆ ปี ด้วย
พิสูจน์สูตรมหัศจรรย์
ผู้เขียนทดสอบสูตรมหัศจรรย์นี้ต่อด้วยการลองนำหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 1,000 ตัวมาทำการวิเคราะห์ผ่านสูตรเพื่อเทียบกับตลาดพบว่าตลอด 17 ปี ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มนี้เท่ากับ 22.9% เทียบกับค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของตลาดที่ 11.7% (แต่เมื่อดูเป็นรายปีมีแค่เพียง 2-3 ปีเท่านั้นที่ผลตอบแทนของสูตรนี้ต่ำกว่าตลาด) นั่นก็หมายความว่าสูตรมหัศจรรย์นี้ใช้งานได้ไม่ว่าหุ้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก
ผู้เขียนทดลองสูตรต่อด้วยการนำเอาบริษัท 2,500 บริษัทมาแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 250 บริษัท เรียงตามอันดับที่ได้จากสูตรมหัศจรรย์ แล้วมาดูผลตอบแทนเป็นรายกลุ่ม พบว่า ผลตอบแทนตลอด 17 ปี นั้นเรียงลำดับตามกลุ่มด้วย กลุ่มที่ 1 ให้ผลตอบแทนดีที่สุดและเรียงลำดับไปจนถึงกลุ่มที่ 10 ที่ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้เขียนได้ทดสอบสูตรมหัศจรรย์ของเขาได้ระยะเวลากว่า 17 ปีที่ผ่านมาของเขาเท่านั้น เนื้อหาภายในหนังสือยังได้อธิบายถึงรายละเอียดที่เขาได้ทดสอบสูตรนี้ของเขาอีกหลายครั้ง จนเป็นที่มาของข้อสรุปจากสูตรนี้ว่า
- สูตรมหัศจรรย์นี้ใช้หาบริษัทที่ดีและราคาถูก
- สูตรมหัศจรรย์ใช้ได้ผลกับทั้งบริษัทที่มีขนาดใหญ่และเล็ก
- สูตรมหัศจรรย์จัดอันดับเรียงตามลำดับ
- สูตรมหัศจรรย์ใช้ได้ดีกับการลงทุนในระยะยาว
- สูตรมหัศจรรย์อาจใช้ไม่ได้ผลกับบางปีติดต่อกัน
- ผลลัพธ์ของสูตรมหัศจรรย์เหนือกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
- สูตรมหัศจรรย์ดีที่สุด (ผู้เขียนยังหาอะไรที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าสูตรมหัศจรรย์นี้ไม่ได้)
ก็ต้องบอกว่าทุกคนต่างก็พยายามหาทางเพื่อที่จะเอาชนะตลาดหุ้นให้ได้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คร่ำหวอดอยู่กับการลงทุนในหุ้นและได้ค้นหาสูตรที่เขาเชื่อว่าเป็นสูตรมหัศจรรย์ในการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าตลาด ถ้าใครสนใจในศาสตร์ของการลงทุนด้วยสูตรแบบนี้ ลองหาหนังสือขายดีเล่มนี้มาอ่านเพิ่มเติมกันดูได้ค่ะ