เด็กคนหนึ่งไปเดินห้างสรรพสินค้ากับพ่อ พอเห็นสีไม้ก็ร้องขอให้พ่อซื้อสีไม้นั้น พ่อเห็นว่าที่บ้านมีสีไม้ตั้งหลายกล่องแล้ว จึงไม่ซื้อให้ เด็กคนนั้นร้องไห้เสียงลั่นห้าง ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้สีไม้ โกรธพ่อเป็นฟืนเป็นไฟ บ่นว่าพ่อไปตลอดทางขากลับ พอถึงบ้านได้เวลาอาบน้ำแล้วก็นอนหลับไป ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอาการโมโหหงุดหงิดก็หายไป หันมาพูดคุยหัวเราะกับพ่อเหมือนเดิมเช่นทุกวัน
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ตั้งใจไปงานสินค้าลดราคา เพื่อจะซื้อทีวี พอไปถึงงานปรากฏว่า ทีวีเครื่องสุดท้ายที่ลดราคาถูกคนอื่นตัดหน้าซื้อไปอย่างเฉียดฉิว ชายคนนั้นหัวเสียมาก พูดบ่นกลับภรรยา พาลพากันกลับบ้าน เพราะไม่สบอารมณ์ที่ตนเองไม่ได้ทีวีสมดังใจ กลับมาบ้านก็นอนไม่หลับคิดถึงแต่ทีวีเครื่องนั้น บ่นว่าภรรยาถ้าไม่ชักช้า แต่งตัวเร็วอีกนิด เขาคงได้ทีวีเครื่องนั้นก่อนคนอื่นแน่ ถ้าภรรยาไม่ทำให้เสียเวลา เขาจะไม่โดนคนอื่นตัดหน้าซื้อทีวีราคาถูกเครื่องนั้นไปแน่นอน กลายเป็นว่าด้วยทีวีเครื่องเดียวทำให้สามีภรรยาต้องผิดใจกัน ยังไม่จบแค่นั้น รุ่งเช้า ชายคนดังกล่าวได้โทรศัพท์ไปยังห้างสรรพสินค้านั้นว่า ที่สาขาอื่นยังมีทีวีลดราคาแบบนี้อีกไหม พนักงานบอกว่าไม่แน่ใจ ให้ลองไล่โทรถามดู เมื่อได้เบอร์มาแล้ว เขาก็ไล่โทรไปตามสาขาต่างๆ ส่วนใหญ่บอกว่าสินค้าหมดแล้ว จนในที่สุดมีอยู่สาขาหนึ่งที่ต้องเดินทางไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร เขาตัดสินใจขับรถไปซื้อทีวีนั้นมาจนได้ และรู้สึกเป็นสุขมากที่สุด เพราะได้ทีวีลดราคาสมดังใจ เช้าวันต่อมาที่หน้าโฆษณาของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงประกาศลดราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าครั้งใหญ่ มีทีวีเครื่องโปรดรุ่นเดียวกับเขา ลดราคาจากที่เขาซื้อมาเมื่อวาน 50% ไม่อยากนึกสภาพของชายคนนั้น เขาคงเสียดายและโกรธรอบสองแน่ๆ แต่เมื่อเขาซื้อมันมาแล้วเมื่อวาน คงไม่เสียสติขึ้นขั้นไปสอยมาอีกสักเครื่องเพื่อเป็นการระบายอารมณ์หรอก
เรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของเราบ่อยๆ หลายๆคนเป็นทุกข์ บ่นว่าตัวเองโชคไม่ดี น้อยใจที่ตัวเองเกิดมาจน เสียใจที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่หวังไว้ไม่ได้ ผิดหวังเรื่องความรัก บ่นเบื่อกับความเจ็บป่วยของตัวเอง เมื่อทุกข์เมื่อเสียใจก็พาลพาให้เรื่องอื่นเสียงานเสียการ หมดกำลังใจไปด้วย แต่เคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าทุกอย่างเป็นแบบที่เราคิดและหวังว่าจะให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วจริง สิ่งที่ตามมาก็อาจแย่กว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้อนาคต ลองอ่านเรื่องเล่าของชาวนาคนหนึ่งดู
ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงม้าไว้ใช้งาน อยู่มาหนึ่งม้าตัวนี้วิ่งหนีเข้าป่าไป ชาวนาเสียใจมาก ม้าแสนรักของเขาหนีไปแล้ว หลังจากนั้นอีกสองวัน เจ้าม้าแสนรักของก็กลับมาพร้อมทั้งพาม้าป่าฝูงใหญ่กลับมาด้วย ชาวนาดีใจที่ได้ม้าของตัวเองกลับมา แถมยังมีม้าฝูงใหญ่เพิ่มเข้ามาด้วย เมื่อมีม้าหลายตัวลูกชายวัยรุ่นก็มีม้าเป็นเพื่อนเล่น วันหนึ่งขณะที่ลูกชายชาวนาขี่ม้าอยู่นั้น ก็พลันตกม้า ทำให้ขาหัก ชาวนาเสียใจ ที่หนึ่งในม้าฝูงใหญ่นั้นทำให้ลูกชายของตนเองขาหัก เจ็บปวดและแสนทรมาน นึกในใจถ้าไม่ได้ม้าฝูงนั้นมาก็คงดี ลูกชายจะได้ไม่ต้องขี่ม้าและไม่ต้องตกลงมาขาหัก ขณะที่ลูกชายกำลังพักรักษาตัว เดินเหินไปไหนก็ไม่ได้ จู่ๆก็มีกองทหารเดินทางผ่านมาในหมู่บ้าน เพื่อเกณฑ์เอาชายหนุ่มไปเป็นทหารเพื่อสู้รบ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านถูกทหารพาตัวไปทั้งหมด เหลือเพียงลูกชาวนาที่ขาหัก ทหารไม่ได้เอาตัวไป เพราะคงใช้การอะไรไม่ได้ ชาวนาผู้เป็นพ่อสุดแสนจะดีใจ ที่ลูกชายไม่ต้องถูกพาตัวไปเป็นทหาร
เรื่องเล่าเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นดีเสมอ สิ่งที่เราคิดว่าโชคร้ายในวันนี้ อาจนำสิ่งที่โชคดีกว่ามาให้ในวันหน้า อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ชีวิตย่อมมีทั้งเรื่องที่สมหวังและผิด หากสิ่งใดไม่ได้ดังใจ ก็ขอให้ยอมรับและลืมความผิดหวังนั้นให้เร็ว เช่นกับเด็กน้อยที่ลืมสีไม้กล่องนั้นในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราลืมเรื่องร้ายๆไม่ได้ เรื่องร้ายที่ฝังใจนั้นก็อาจนำพาเรื่องที่ร้ายกว่า เสียหายมากกว่าแบบเดียวกับชายคนที่อยากได้ทีวี ชีวิตของเราก็เหมือนชาวนาบางครั้งก็ดีใจ บางครั้งก็เสียใจ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นดีเสมอ ทำใจยอมรับกับชีวิตในวันนี้และทุกๆวัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด