เศรษฐกิจปี 2559 ยังไม่ค่อยสู้ดีนัก ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนฝันสลายกันเป็นทิวแถว จากการสำรวจของ สอท.(สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)กับผู้ประกอบการกว่า 500 แห่ง พบต่างมีการปรับขึ้นเงินเดือนลดลง แถมโบนัสลด ซึ่งแบบนี้คงโทษใครไม่ได้ หวังแค่เพียงเศรษฐกิจดีเมื่อไร คงเป็นฝันดีของมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง
ข่าวเศร้าของมนุษย์เงินเดือนส่งท้ายปี เมื่อนายถาวร ชลัษเฐียร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ สทอ.ได้ทำการสำรวจนโยบายการปรับค่าจ้างและโบนัสในปี 2559 ซึ่งมีการเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมครั้งนี้ทั้งสิ้น 535 แห่ง ใน12 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ได้แก่
1. คลัสเตอร์ปิโตรเคมี
2.คลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องปรับอากาศ
3. คลัสเตอร์การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
4.คลัสเตอร์ยางและไม้ยางพารา
5.คลัสเตอร์พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
6.คลัสเตอร์ยานยต์/ชิ้นส่วน
7. คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง
8.คลัสเแฟชั่นและไลฟ์สไตล์
9. คลัสเตอร์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม
10. คลัสเตอร์อาหาร
11. คลัสเตอร์วิศวกรรมเครื่องจักรกลและงานโลหะ
12.คลัสเตอร์อื่น ๆ
คิดเป็น 21.68% แบ่งเป็นขนาดกลาง 159 แห่ง คิดเป็น 29.72%และเป็นขนาดใหญ่ 260 แห่ง คิดเป็น 48.60% พบว่ามีการขึ้นเงินเดือนลดลงจากปีก่อนเฉลี่ย 4.17%และโบนัสอยู่ที่ 1.87 เดือน ซึ่งปีที่แล้วยังอยู่ที่5.04% และโบนัสอยู่ที่ 2.34 เดือนอยู่เลย อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจในขณะนี้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ในกลุ่มของสถานประกอบการขนาดใหญ่มีการปรับค่าจ้างสูงสุดในอัตรา 5% และยังเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ที่จะมีการจ่ายโบนัสสูงสุด เฉลี่ย 2.48 เดือน ส่วน ส่วนสถานประกอบการขนาดเล็ก ซึ่งเป็นคลัสเตอร์ที่จะมีการปรับค่าจ้างต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 2.5-4% เท่านั้น และจะจ่ายเงินโบนัสที่ประมาณ 1 เดือน แต่อะไรก็ยังไม่เลวร้ายไปกว่าภาพรวมนายจ้าง จำนวน 473 ราย คิดเป็น 88% พร้อมที่จะจ่ายโบนัส มีเพียง 62 ราย คิดเป็น 12% ที่ไม่พร้อมจ่ายโบนัสให้พนักงาน แบบนี้เป็นบริษัทที่ใครทำงานอยู่ก็เตรียมช้ำใจได้เลย
สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ 4 ปีแล้ว
สำหรับสานการณ์การปรับเงินเดือนลดลงและโบนัสได้ไม่มากแบบนี้ ไม่ใช่พึ่งจะเกิดปีนี้เป็นปีแรก แต่ได้เกิดต่อเนื่องมาถึง 4 ปีแล้ว ซึ่งในขณะนั้นตรงกับปี 2556 ได้มีโครงการรถคันแรก ทำให้เศรษฐกิจดูเหมือนจะฟู่ฟ่าดูดี แต่หลังจากนั้นการส่งออกรถยนต์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับยานยนต์ ไม่สามารถให้โบนัสสูงได้ดังแต่ก่อน (ส่วนกลุ่มอื่นๆก็ดูง่อนแง่นตามไปด้วย)ซึ่งจากการสำรวจครั้งนี้พบว่า คลัสเตอร์พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะปรับขึ้นเงินเดือนให้ที่ประมาณ 5% ส่วนกลุ่มวิศวกรรมเครื่องจักรกลและงานโลหะ มีการปรับเงินเดือนต่ำสุด 3.03% คลัสเตอร์ยานยนต์จ่ายโบนัสเฉลี่ย3.37 เดือน และคลัสเตอร์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์จ่ายโบนัสต่ำสุดที่ 0.96 เดือน
ผู้ประกอบการยังต้องการแรงงานเหมือนเดิม
สำหรับปีนี้ถึงแม้การปรับเงินเดือนจะไม่มากและโบนัสจะต่ำเตี้ย แต่ก็ยังพบว่าสถานประกอบการ256 แห่ง แจ้งความจำนงต้องการรับคนทำงานเพิ่ม 118 แห่ง ไม่ต้องการ 138 แห่ง เป็นจำนวนคน 9,661 คน คิดเป็น 4.48% เป็นระดับปริญญาตรีขึ้นไป 1,196 คน คิดเป็น 0.56% ระดับปวช./ปวส. จำนวน 2,374 คน คิดเป็น 1.10% และ ระดับต่ำกว่าม.6 จำนวน 61,091 คน คิดเป็น 2.82% ซึ่งก็ถือได้ว่าแรงงานมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และแสดงให้เห็นได้ว่าแรงงานที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่า ม.6 ก็ยังเป็นที่ต้องการไม่น้อยเช่นกัน
การปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่กระทบต่อการจ้างงานและราคาสินค้า
สำหรับกรณีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอีก 5-10 บาท ใน 69 จังหวัดนั้น นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยอมรับได้ เพราะไม่ได้ขึ้นพร้อมกันและเท่ากันทั่วประเทศ อีกทั้งยังไม่กระทบต่อต้นทุนเท่าไรนัก จึงไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า แต่สำหรับทางปลายทางก่อนจะถึงมือผู้บริโภคจะมีการบวกเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไรอันนี้ไม่รู้ ส่วนทางด้านนายดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนามนุษย์ ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ได้ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้บ้างว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องแล้ว เนื่องจากมีการทยอยปรับขึ้นทีละนิด อีกทั้งขึ้นที่ 5-10 บาท ก็เพียงแค่ 2% กว่า เท่านั้น จึงไม่น่าจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการและต้นทุนสินค้าเท่าไร
ทั้งนี้นายดิลกะ ยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า การปรับค่าแรงควรให้ผู้ประกอบการประเมินและปรับตัวได้ ที่สำคัญไม่ควรนำเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องเด็ดขาด ซึ่งมีให้เห็นแล้วจากในอดีต (การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท) ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้ จนทำให้ผู้ใช้แรงงานที่มีทักษะต่ำมีประสบการณ์น้อย ต้องถูกเลิกจ้างในที่สุด แทนที่จะได้ประโยชน์ตรงนี้ และไม่เพียงผู้ประกอบการเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่นักลงทุนหลังมีนโยบายนี้ออกมา บางกลุ่มก็ได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เวียดนามและ กัมพูชา จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
แม้ว่าทั้งเงินเดือนและโบนัสในปีนี้จะได้ไม่มาก แต่มนุษย์เงินเดือนก็น่าจะภูมิใจที่ยังมีงานให้ทำและมีเงินเดือนให้ใช้ ทางที่ดีตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และรอวันที่เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้คงได้ยิ้มออกอีกครั้ง ซึ่งหวังว่าคงจะไม่นานเกินรอ!! และเศรษฐกิจก็คงจะฟื้นฟูขึ้นอย่างน่าพอใจ