ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังอึนๆไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไร การซื้อลอตเตอรี่ สักใบเพื่อลุ้นโชคมันก็เป็นสีสันความเร้าใจให้ชีวิตได้เหมือนกัน ว่ากันว่าซื้อน้อยๆคือการเสี่ยงโชคแต่ถ้าซื้อมากๆก็เป็นการพนันได้เหมือนกัน เพราะผู้เล่นหวังได้เสีย เสมือนกับมีการแข่งขันเกิดขึ้น แต่ยังไงสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ “ลอตเตอรี่” ก็ยังเป็นกิจกรรมการเสี่ยงโชคที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่คู่สังคมไทยอยู่ดี แต่ที่หลายคนสงสัยคือเงินรายได้เอาไปทำอะไรบ้าง?
อ่านเพิ่มเติม : วางแผน เล่นหวย ให้รวย ทุกงวด
แอบมองตัวเลขการเงิน
เมื่อมองงบการเงินของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตลอด 20 ปีที่ผ่านมา นั่นคือช่วงปีงบประมาณ 2539-2558 คนไทยได้จ่ายเงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 909,433 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคนถูกรางวัลนำลอตเตอรี่มาขึ้นเงิน 552,202 ล้านบาท และในจำนวนนี้มีคนถูกรางวัลที่ 1 ประมาณ 11,500 คน หรือเฉลี่ยปีละ 575 คน ส่วนคนที่ไม่ถูกรางวัลเลยหรือถูกกินเป็นเงิน 357,229 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้เอง สำนักงานสลากฯ จะนำส่งคลังเพื่อให้รัฐบาลนำไปพัฒนาประเทศจำนวน 175,374 ล้านบาท คิดเป็น 19.28% ของรายได้จากยอดขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือนำไปแบ่งให้ตัวแทนจำหน่าย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ตลอดจนถึงคนขายหวยตัวจริง 84,422 ล้านบาท คิดเป็น 9.28% ของรายได้จากยอดขายสลาก นอกจากนี้ยังมีการแบ่งให้หน่วยงาน มูลนิธิ และองค์กรการกุศลที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้จำหน่ายสลากบำรุงการกุศลเป็นจำนวนเงิน 69,178 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.61% ของยอดขายสลาก จากนั้นนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอีก 27,577 ล้านบาท คิดเป็น 3.03% ของรายได้จากยอดขายสลาก และส่วนสุดท้ายที่เหลืออีก 679 ล้านบาท สำนักงานสลากฯ ก็จะเก็บเข้า “กองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนาสังคม” ต่อไป
นอกจากรายได้หลักก้อนนี้แล้ว ในช่วงปี 2547-2550 ยังมีรายได้มาจากการขายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือ “หวยบนดิน” มาเสริมอีกด้วย โดยทำรายได้เพิ่มขึ้นถึงอีก 1 เท่าตัวของสลากปกติ ทั้งนี้สำนักงานสลากฯ ได้เริ่มออกรางวัลสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ครั้งแรกในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 แต่แรกๆยังไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากนัก ทำให้ในปีงบประมาณ 2546 สำนักงานสลากฯ มีรายได้รวมเพียง 36,692 ล้านบาท แต่พอมาปีงบประมาณ 2547 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 76,429 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึง 108% และมากขึ้นอีกในปี 2548 รายได้รวมเป็น 82,718 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2549 มีรายได้รวมถึง 92,764 ล้านบาท แต่เป็นที่น่าเสียดายเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และต่อมาในสมัยรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ได้สั่งยกเลิกโครงการหวยบนดินเมื่อ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 จึงจัดว่าเป็นวันสุดท้ายที่มีการออกรางวัลหวยบนดิน ซึ่งในปีงบประมาณ 2550 สำนักงานสลากฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 55,474 ล้านบาท
มาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา
หากมองในภาพรวมพบว่าสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว จะมียอดขายสูงกว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศล แถมในปีงบประมาณ 2549 ซึ่งเป็นปีที่สำนักงานสลากฯ มีรายได้จากการขายสลากสูงที่สุดในรอบ 20 ปี และเป็นแบบก้าวกระโดดด้วยซ้ำ ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 71,040 ล้านบาท จึงแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังมีความต้องการสลากอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีการร้องเรียนเรื่องการขายสลากเกินราคา จึงทำให้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ตัดสินใจพิมพ์สลากเพิ่มอีกเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ จาก 37 ล้านฉบับคู่ในปี 2558 เพิ่มเป็น 60 ล้านฉบับคู่ในปัจจุบัน ซึ่งจากการเอาจริงเอาจังของรัฐบาลและกองสลากทำให้ปัญหาการขายสลากเกินราคา คลี่คลายลงไปอย่างมาก จึงถือว่าเดินมาได้ถูกทางแล้ว
ทั้งนี้ การคำนวณหาจำนวนคนที่น่าจะถูกรางวัลที่ 1 จะคำนวณจากปริมาณของสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลทั้งหมดที่พิมพ์ออกจำหน่ายในแต่ละงวด และต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่า สลากทุกใบจะมีเลขรางวัลอยู่ 6 หลัก คือ 0-999,999 ซึ่งโอกาสที่คนจะถูกรางวัลที่ 1 มีความน่าจะเป็นเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น (น้อยมาก ต้องดวงดีจริงๆ) หากซื้อสลากคนละ 1 คู่ ทุกๆ 1 ล้านฉบับคู่ จะมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 เพียง 1 คนเท่านั้น ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนใน ปี 2558 สำนักงานสลากฯพิมพ์สลากขายอยู่ที่ 37 ล้านฉบับคู่ ก็จะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่เกิน 37 คน และในรอบ 1 ปี จะมีการออกรางวัลทั้งหมด 24 ครั้ง หากซื้อสลากคนละ 1 ฉบับคู่ ก็น่าจะคาดเดาได้ว่าในปีนี้จะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่เกิน 888 คน และภายใต้หลักการที่กล่าวมาก เมื่อ นำมาคำนวณย้อนหลังกลับไปอีก 19 ปี รวมๆแล้วคาดว่าจะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ไม่น่าจะเกิน 11,502 คน หรือเฉลี่ยปีละ 575 คนเท่านั้น
ถึงแม้การถูกรางวัลที่ 1 ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน การถูกรางวัลเล็กๆเป็นเหมือนน้ำจิ้ม แต่มันก็ทำให้มีรอยยิ้มและมีการลุ้นด้วยหัวใจที่มีความหวังไม่ใช่หรือ ท่ามกลางเศรษฐกิจเงียบๆแบบนี้มองรวมๆว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก็แล้วกัน ซึ่งในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในขั้นที่ดีขึ้นจากเดิมมากพอสมควรเลยทีเดียว