หลายคนอาจจะสงสัยว่า การเป็นสายเปย์นั้นต้องทำอย่างไร มันคือการเลี้ยงคนอื่นแบบจัดหนักจัดเต็มหรือเปล่า ขอบอกเลยว่า คำว่า สายเปย์ เป็นคำที่มีความหมายมากกว่านั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้เงินเพื่อเลี้ยงคนอื่น แต่มันหมายถึงการใช้จ่ายแบบจัดหนัก จัดเต็มในทุกกรณี ทั้งแบบมีเหตุผลและไม่มีเหตุผล ถ้าเป็นแบบมีเหตุผลก็อย่างเช่น เราต้องการกระเป๋าสักใบหนึ่งมาไว้ใช้งาน เนื่องจากของเดิมพังไปแล้ว แต่แทนที่จะซื้อรุ่นที่มีราคาพอประมาณ เรากลับต้องไปยึดติดว่าจะต้องซื้อรุ่นที่ดีที่สุด แพงที่สุด ทั้ง ๆ ที่รุ่นต่ำกว่าที่มีราคาถูกกว่า ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ต่างกัน ส่วนในกรณีของการใช้เงินแบบไม่มีเหตุผล ก็อย่างเช่น เราเดินเข้าไปในห้าง แล้วเจอกระเป๋าหลุยส์รุ่นใหม่ก็เกิดความอยากได้และซื้อมาด้วยราคาแพงในทันที ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ในบ้านมีกระเป๋าหลุยส์อยู่เต็มไปหมด แถมยังไม่ได้ใช้งานจนครบทุกใบเลย อย่างนี้เป็นต้น
การทำตัวเป็นสายเปย์ถือเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนไม่มีเงินเก็บเหลือ เนื่องจากเป็นรูปแบบการใช้เงินที่จ่ายหนัก จัดเต็ม หลายคนที่ทำตัวเป็นสายเปย์ในช่วงต้นเดือน พอถึงปลายเดือนต้องมานั่นเครียดเพราะไม่มีเงินเหลือ ต้องใช้ชีวิตอย่างอด ๆ อยาก ๆ ยากลำบากสุด ๆ บางคนพอเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ก็บังเกิดความคิดว่า เดือนหน้าฉันจะไม่ใช้เงินเยอะอีกแล้ว แต่พอขึ้นเดือนใหม่ก็กลับไปมีพฤติกรรมอย่างเดิมอีก เนื่องจากนิสัยความเป็นสายเปย์มันซึมเข้ากระแสเลือดเสียแล้ว เพราะฉะนั้นในบทความนี้ เราจะมาดูวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถลด ละ เลิก ความเป็นสายเปย์ได้
ขั้นตอนแรกของมาตรการการลด ละ เลิก ความเป็นสายเปย์ ก็คือ ให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสียใหม่
โดยปกติผู้ที่เป็นสายเปย์มักจะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง คือ เมื่อเลิกงานจะต้องแวะไปที่นั่นที่นี่ หรือไม่ก็ต้องนัดเพื่อนมาปาร์ตี้ ลองเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ คือ เลิกงานแล้วก็กลับบ้านเลย คิดซะว่ารีบกลับบ้านไปทานข้าวกับพ่อและแม่ หรือไม่ก็พกพางานกลับไปทำที่บ้านด้วย และถ้าเพื่อนคนไหนโทรมาชวนไปปาร์ตี้หรือไปเที่ยวที่ไหน ก็บอกไปเลยว่ากำลังประหยัดอยู่ ยังไม่ต้องชวนไปไหนในช่วงนี้ หรือไม่ก็บอกว่าวันนี้มีงานยุ่ง เลยรีบกลับบ้าน ลองหยุดอยู่บ้านบ่อย ๆ ให้ติดเป็นนิสัย รับรองเลยว่าหากเราเลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน ไม่ไปแวะเที่ยวที่ไหน เงินของเราจะมีเพิ่มขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ จนอาจจะเกิดความคิดขึ้นมาเลยว่า แล้วก่อนหน้านี้เราเอาเงินไปใช้อะไรหนักหนา
การลด ละ เลิกความเป็นสายเปย์ขั้นต่อมา คือ ลองเปลี่ยนแนวคิดในการซื้อของเสียใหม่
จากเดิมที่ซื้อของแต่ละทีต้องเน้นแต่คุณภาพของที่ดีที่สุด จนบางทีต้องจ่ายแพงทั้งที่ไม่จำเป็น มาเป็นการเลือกซื้อของที่มีทั้งคุณภาพและราคา ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการจะซื้อกระเป๋า แต่เดิมอะไร ๆ ก็ต้องหลุยส์ กุชชี่ ที่ราคาหลาย ๆ หมื่น อาจจะลองเปลี่ยนมาซื้อพวกกระเป๋าทำมือ OTOP ฝีมือชาวเขาที่ราคาอยู่แค่หลักร้อย แต่ก็มีรูปแบบอันประณีต สวยงามและทนทานไม่ต่างกันแทน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แต่เดิมอะไร ๆ ก็ต้องยี่ห้อดัง ราคาแพง ๆ อาจจะลองเปลี่ยนมาซื้อยี่ห้อรองลงมาที่มีราคาถูก แต่ก็มีคุณภาพไม่ต่างกันมากนักแทน แต่อย่าซื้อแบบเอาราคาถูกเข้าว่านะ เพราะบางทีของราคาถูกเกินไปก็ไร้คุณภาพ ซื้อมาแล้วพังง่าย กลายเป็นว่าต้องซื้อของใหม่บ่อย ๆ สิ้นเปลืองหนักเข้าไปอีก
การลด ละ เลิก ความเป็นสายเปย์อีกขั้นหนึ่ง หลังจากที่ผ่านมาแล้ว 2 ขั้นตอนด้วยกัน นั่นก็คือ การหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ซื้อของมากเกินความจำเป็น
ในขั้นนี้อาจจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยสำหรับใครหลายคน แต่รับรองว่าหากผ่านขั้นนี้ไปได้ เราจะกลายเป็นผู้ซึ่งรู้จักการใช้เงิน แล้วเลิกเป็นสายเปย์ได้อย่างถาวร สำหรับวิธีการปฏิบัติก็ไม่ยุ่งยากอะไร แค่ห้ามใจให้ได้หากไปเจอของที่อยากได้เข้า อย่างสมมุติเราไปเจอกับกระเป๋ากุชชี่ออกใหม่ ในขณะที่ในบ้านเราก็มีกุชชี่อยู่เต็มบ้านอย่างนี้ เราก็อาจจะพิจารณาเสียใหม่ ว่ากระเป๋าที่เรากำลังอยากได้อยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราหรือเปล่า หากซื้อไปแล้วจะได้ใช้งานหรือไม่ พยายามคิดทบทวนตามความเป็นจริง อย่าเอาความอยากได้ของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วเราก็จะหมดความอยากได้ในกระเป๋าใบนั้นไปเอง เป็นต้น จงใช้กระบวนการคิดเช่นนี้ทุกครั้ง เมื่อเราเกิดความอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต แต่หากเป็นพวกของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งเป็นของทางใจ ไม่ใช่ของใช้สอยอย่างนี้ เราก็อาจจะพิจารณาดูว่า ของที่ระลึกดังกล่าวนั้นมีราคาที่สมเหตุสมผลหรือเปล่า แพงเกินไปหรือไม่ หากมีราคาแพง แล้วมีอะไรที่คุ้มราคาบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น
มาตรการหยุดยั้งความเป็นสายเปย์ ก็มีอยู่ทั้งหมด 3 ขั้นตอนดังที่กล่าวมา ใครที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นพวกจ่ายหนัก จัดเต็ม ก็ลองเอาวิธีการเหล่านี้ไปทำตามดู อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นสายเปย์อยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ตนไม่มีเงินเก็บและส่งผลเสียต่อการดำรงชีวิตในอนาคตได้