การลงทุนเป็นคำเท่ห์ๆ และดูเหมือนจะเป็นเรื่องเฉพาะของคนรวย หรือผู้มีอันจะกินเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่จริงเพียงครึ่งเดียว เพราะการลงทุนไม่ใช่เรื่องที่จำกัดอยู่ในแวดวงของเศรษฐีหรือคนรวยเท่านั้น แต่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าเงินมากหรือเงินน้อย ล้วนสามารถที่จะลงทุนได้ทั้งนั้น แต่เมื่อลงทุนแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ฝีมือ และความเชื่อ คนที่มีความเชื่อต่างกัน เวลาทำอะไรก็จะได้ผลต่างกันด้วย คนที่มีเงินเริ่มต้นเท่ากัน ถ้ามีความเชื่อต่างกัน เมื่อเวลาผ่านไป 20 -30 ปี ทรัพย์สินและเงินทองก็จะต่างกันด้วย ส่วนผลลัพธ์จะต่างกันมากแค่ไหน ลองมาฟังเรื่องของอาและหลานชาวจีนคู่นี้ดู
ลุงคู เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ส่วนเจฟฟี่คูมีศักดิ์เป็นหลานของลุงคู ลุงคูเกิดในตระกูลผู้ดีเก่า มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศ คบค้ากับนักธุรกิจและนักการเมืองใหญ่ เจฟฟี่คูกำพร้าพ่อ ตั้งแต่ 4 ขวบ ได้ลุงคูเป็นผู้อุปถัมภ์ชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ และสอนให้ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จร่ำรวยขึ้นมาได้ในที่สุด คนภายนอกมักจะถกเถียงกันว่า อากับหลานคู่นี้ใครรวยกว่ากัน คนภายนอกที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด ยากที่จะคาดเดาได้ถูกต้อง ความร่ำรวยของบุคคลทั้งสองนี้ ร่ำรวยขึ้นมาด้วยอุปนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน ลุงคูจัดเป็นคนประเภทที่ช้าแต่ชัวร์ ส่วนเจฟฟี่คูนั้นจัดอยู่ในพวกไวเป็นกรด พอนิสัยและวิธีคิดต่างกัน รูปแบบการสร้างรายได้และการลงทุนก็แตกต่างกันไปด้วย
มีคนบอกว่าถ้าเงินเข้ากระเป๋าลุงคูไปแล้ว ยากที่จะควักออกมาได้ เหมือนอ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว อย่าหวังไปเอาคืน แต่ถ้าเงินเข้ากระเป๋าของเจฟฟี่คูผู้เป็นหลาน เงินนั้นจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว ความเป็นจริงก็คือลุงคูเป็นคนไม่ชอบควักเงินออกมาลงทุน เขาชอบเก็บเงินฝากไว้กับธนาคาร และไม่อยากปวดหัวเรื่องเงินๆทองๆ แต่เจฟฟี่คูชอบที่จะนำเงินที่ได้มากระจายลงทุนไปในเรื่องต่างๆทั้งในและต่างประเทศ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ถึงตอนที่ลุงคูมีอายุ 80 ปีแล้ว ผลจากการเก็บสะสมเงินมาเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ลุงคูมีเงินสดอยู่ในมือมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงการลงทุนสร้างฐานะ เจฟฟี่คูผู้หลานนำห่างลุงคูไปหลายช่วงตัว แม้อาหลานจะมีอายุห่างกันกว่า 50 ปี ขอเพียงลงทุนให้ถูกทาง ผู้เป็นหลานย่อมมีโอกาสร่ำรวยแซงหน้าลุงได้ไม่ยาก
แต่เราไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานร่ำรวยเหมือนเจฟฟี่คู เพียงแต่ลงทุนให้ถูกทางและต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป 30-40 ปี ทุกคนย่อมสามารถร่ำรวยในระดับเศรษฐีได้ การลงทุนสร้างฐานะนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องของภูมิปัญญาความรู้อะไรมากมาย ไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด ไม่ต้องมีเทคนิคอะไรเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวคิด ขอให้มีแนวความคิดความเชื่อที่ถูกต้อง ก็จะประสบความสำเร็จได้ เคล็ดลับคือ คนที่ลงทุนจนประสบความสำเร็จ จะต้องบ่มเพาะนิสัยที่คนทั่วไปไม่ชอบทำ และทำไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่ทำทวนกระแสกับฝูงชน ต้องทำในสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เช่น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน มีวินัย และความสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย แต่ถ้ารู้จักนำเงินไปต่อเงิน ในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม เมื่อเวลาผ่านไประดับหลายสิบปีก็จะร่ำรวยได้ หรือถ้าเก็บออมด้วย ลงทุนด้วยจากวัยหนุ่มไปกระทั่งถึงวัยเกษียณ ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นเพียง 15000 บาท หักเงินออกมา 10% ทุกเดือนนำไปลงทุนหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ พอถึงวัยเกษียณที่ อายุ 60 ปี จะมีเงินหลายสิบล้านแน่นอน การทำแบบนี้ไม่เห็นจะมีเทคนิคอะไรที่ซับซ้อนหรือต้องจ้างวานผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องมีความอดทน มีวินัยที่จะไม่ไถ่ถอนเงินออกมาใช้ หรือนำไปลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงเกินไป และสามารถรอเวลาที่จะร่ำรวยได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเศรษฐี แต่คนส่วนใหญ่ทำไม่สำเร็จ เพราะใจเร็วด่วนได้ รอไม่เป็น หรือชอบเล่นหุ้นปั่น เล่นหุ้นเก็งกำไร สุดท้ายทุนหายกำไรหด และท้อแท้ไปในที่สุด
จากเรื่องของสองอาหลานชี้ให้เห็นว่า คนที่ใช้เงินเป็น ใช้เงินทำงาน ถ้าทำได้ถูกที่ถูกเวลา นำเงินไปลงทุนถูกหลักถูกแนว สุดท้ายจะมีโอกาสร่ำรวยหรือมีทรัพย์สินมากกว่าคนที่คิดแต่จะเก็บเงินไว้ในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย การลงทุนจึงเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่ วัยหนุ่มสาวต้องศึกษาเรียนรู้ เพราะคนที่ยังหนุ่มยังสาว มีเวลาที่จะให้เงินทำงานได้อีกหลายสิบปี ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากการลงทุนอย่างถูกวิธีแล้ว ปัจจัยเรื่องของเวลาที่จะทำให้พลังอำนาจของการลงทุนเบ่งบานอย่างทวีคูณ ต้องใช้ระยะเวลาเป็นตัวช่วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ลองถามตัวเองว่า วันนี้ได้เริ่มลงทุนอะไรแล้วหรือยัง ถ้ายังก็สามารถจะเริ่มต้นได้เสมอ ไม่มีคำว่าสายสำหรับการลงทุน ขึ้นอยู่กับว่า จะทำหรือไม่ทำ