ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศคือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแต่ละบ้าน ในยุคที่อากาศเมืองไทยร้อนอบอ้าวอย่างนี้
เมื่อความนิยมในการใช้เครื่องปรับอากาศพุ่งสูงขึ้นอย่างนี้ สิ่งที่เกิดการรณรงค์ตามมานั่นก็คือการล้างเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกว่า ล้างแอร์ จากกระทรวงพลังงานโดยระบุว่าการล้างแอร์จะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก แต่หลายคนที่ฟังการรณรงค์เหล่านี้ บางทีก็ได้แต่รับฟังโดยที่ไม่เข้าใจว่าการล้างแอร์จะช่วยลดพลังงานได้อย่างไร แล้วลดไปเท่าไร เนื่องจากการรณรงค์นั้นไม่ค่อยให้รายละเอียดอะไรสักเท่าไร มีแต่มาบอกว่า “ล้างแอร์ ๆ” สุดท้าย ผู้ใช้เครื่องปรับอากาศหลายคนไม่คิดจะล้างแอร์ของตัวเอง บางคนตั้งแต่ซื้อแอร์มาติดไม่เคยจ้างช่างมาล้างแอร์เลยสุดท้ายแอร์นั้นก็บริโภคพลังงานมากขึ้น ๆ โดยที่ตัวผู้ใช้ไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้นในบทความนี้ เราจะมาขยายเนื้อหากันว่าทำไมต้องล้างแอร์ ล้างแอร์แล้วประหยัดไฟได้จริงหรือ แล้วประหยัดไปเท่าไรกัน
แต่ก่อนที่เราจะไปเข้าเรื่องล้างแอร์แล้วประหยัดจริงหรือ เรามาดูกันก่อนว่าการล้างแอร์คืออะไร การล้างแอร์ ก็คือการทำความสะอาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องปรับอากาศแบบละเอียด มีประเภทของการล้างอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ล้างเฉพาะคอยล์เย็นอย่างเดียว ซึ่งช่างที่รับจ้างล้างแอร์แบบนี้ จะล้างให้เฉพาะส่วนทำความเย็นของแอร์ที่ติดอยู่ในห้องกับอีกแบบหนึ่งคือล้างทั้งคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน โดยการล้างแบบนี้ช่างผู้รับจ้างจะล้างให้ทั้งตัวแอร์ที่ติดอยู่ภายในและตัว Compressor ระบายความร้อนที่ติดอยู่นอกอาคาร ซึ่งกรรมวิธีการล้างนี้ช่างจะใช้น้ำเปล่าฉีด อัดล้างเข้าไปที่ส่วนต่าง ๆ ของแอร์เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ถูกกำจัดออกไป หากล้างคอยล์ร้อนด้วย ช่างก็จะทำการแกะหน้ากากของ Compressor ออกมาทำความสะอาด แล้วทำการล้างใบพัดพร้อมกับฉีดน้ำเปล่าเพื่อนำสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ภายใน Compressor ออกไป
อนึ่ง ผู้ที่กำลังคิดจะจ้างช่างสักคนมาล้างแอร์ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า การล้างแอร์ เป็นเพียงการทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของแอร์ เพื่อนำสิ่งสกปรกออกไปเท่านั้น ไม่ใช่การซ่อมบำรุงหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของแอร์แต่อย่างใด ดังนั้น หากเจอช่างแอร์ที่คิดราคาเพิ่มโดยอ้างว่า เป็นค่าน้ำยาสำหรับเติมแอร์หลังจากการล้างหรืออ้างว่าในการล้างแอร์ต้องมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดหรือใช้น้ำยาล้างแอร์โดยเฉพาะ แล้วคิดราคาแพงกว่าปกติให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจจะกำลังถูกช่างหลอก แล้วปฏิเสธสิ่งที่ช่างเสนอมาให้โดยทันที และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การล้างแอร์มีอยู่แค่ 2 แบบเท่านั้น ได้แก่ ล้างเฉพาะคอยล์เย็นและล้างทั้งคอยล์เย็นคอยล์ร้อน หากช่างใช้คำอื่นที่ไม่ได้สื่อถึงลักษณะการล้างแบบนี้ ให้ถามก่อนว่าการล้างอย่างที่ช่างบอกนี้เป็นการล้างแบบไหน ถ้าช่างพูดวก ๆ วน ๆ พยายามทำให้เรางงให้หลีกเลี่ยงการจ้างช่างรายนั้นเสียจะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี
ทีนี้ กลับมาเข้าเรื่องที่ว่า การล้างแอร์ช่วยให้ประหยัดไฟได้อย่างไร และประหยัดไปได้เท่าไร
เริ่มจากข้อแรกก่อน อย่างที่บอกไปว่าการล้างแอร์คือการนำสิ่งสกปรกออกไปจากตัวเครื่องปรับอากาศ ทำให้แอร์สามารถทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากไม่มีสิ่งสกปรกไปขวางการทำงานของแอร์ ทั้งในส่วนของวงจรไฟฟ้าหรือทางลมออกของแอร์ซึ่งถ้าหากมีฝุ่นสกปรกเข้าไปจับที่ทางลมออกของแอร์ วงจรไฟฟ้าของแอร์หรือคอยล์ร้อนด้านนอกอาคารจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้ลำบากขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือ เย็นน้อยลง อัตราการกินไฟเพิ่มสูงขึ้น หากจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดก็คงจะเปรียบได้กับพัดลม ที่หากตั้งแต่ซื้อมาเราไม่เคยถอดตะแกรง ถอดใบพัดออกมาล้างเลยแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งสกปรกจะเข้าไปสะสมในตัวพัดลม ทำให้พัดลมไม่อาจจะหมุนได้ตามปกติ สิ่งที่จะตามมาก็คือ ความพยายามของมอเตอร์พัดลมที่จะเร่งกำลังของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละเป็นตัวการที่ทำให้พัดลมนั้นกินไฟมากขึ้น เครื่องปรับอากาศเองก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้น การล้างแอร์จึงเป็นการช่วยให้แอร์มีความประหยัดไฟมากขึ้นทางหนึ่ง ยิ่งถ้าบ้านใดรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นอยู่บ่อย ๆ อันมีสาเหตุมาจากสิ่งสกปรกเข้าไปจับก็ต้องเพิ่มความถี่ในการล้างมากขึ้น ส่วนข้อสงสัยที่ว่าการล้างแอร์ช่วยให้ประหยัดไฟไปได้เท่าไรนั้น จากข้อมูลตามที่ต่าง ๆ ระบุตรงกันว่าการล้างแอร์จะช่วยให้แอร์ประหยัดไฟมากขึ้นร้อยละ 10-15 เลยทีเดียว ยิ่งถ้าล้างแอร์อยู่สม่ำเสมอ ค่าไฟเฉลี่ยต่อปีอาจจะลดลงไปได้ถึงร้อยละ 40 ต่อปีเลยทีเดียว จัดว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร
หลังจากที่ท่านผู้อ่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะพอเห็นแล้วว่า การล้างแอร์ช่วยลดค่าไฟต่อเดือนได้เป็นอย่างมากจริง ๆ แต่ถึงอย่างไร การล้างแอร์ก็เป็นเพียงปัจจัยที่ช่วยให้แอร์ประหยัดไฟมากขึ้นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าค่าไฟจะถูกเพียงเพราะการล้างแอร์บ่อยเพียงอย่างเดียว ต่อให้ล้างแอร์ทุก ๆ 15 วัน แต่ถ้าเวลาใช้งานตั้งอุณหภูมิจนเย็นเสียราวกับอยู่ขั้วโลก หรือตั้งอุณหภูมิสูงเกินไปจนเท่าอุณหภูมิห้องปกติแล้วละก็ การล้างแอร์ก็คงจะไม่ช่วยให้ประหยัดไฟได้อยู่ดี