ผู้สูงอายุทั่วประเทศได้ยิ้มกันยกใหญ่ เมื่อรัฐบาลประกาศเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ด้วยเหตุผลน่าประทับใจที่ใครๆ ก็ต้องปลื้มกันจริงๆ
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา นายอดิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาแถลงถึงนโยบายที่น่าดีใจนี้ว่า ในปี 60 รัฐบาลมีแผนการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นแก่ผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้เพียงพอ หรือมีฐานะดี ไม่เดือดร้อนด้านการเงิน สามารถสละสิทธิ์รับเงินดังกล่าว เพื่อนำเงินก้อนนั้นมาให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนจริงๆ
ทั้งนี้ นายอดิศักดิ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเดิมที่ต้องจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุให้กับคนชราทุกคน เนื่องจากมีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งบางคนมีฐานะดี หรือมีรายได้เพียงพอสำหรับการดำรงชีพอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับเงินส่วนนี้เลย แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนมากที่มีฐานะยากจนจริงๆ ซึ่งเงินที่ได้จากรัฐบาลคนละ 600-900 บาทนั้น ไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพได้ตลอดทั้งเดือน เพราะสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้นในทุกๆ วัน จึงทำให้ได้รับความเดือดร้อนและลำบากมาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจึงจะเพิ่มเบี้ยดังกล่าวให้เป็นคนละ 1,200-1,500 บาทต่อเดือน เพราะเป็นระดับที่เหมาะสมในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะยกเลิกจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีทั้งหมด จนเกิดเสียงคัดค้าน ภาครัฐจึงขอออกมาปรับความเข้าใจ พร้อมแถลงนโยบายใหม่ว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดี หรือไม่ขัดสนทางการเงิน สามารถสละสิทธิ์ไม่ขอรับเงินเบี้ยยังชีพได้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่อยู่ในข่ายดังกล่าวประมาณ 8 ล้านคน และมีจำนวนหนึ่งที่ประสงค์ไม่ขอรับเงินส่วนนี้อยู่บ้างแล้ว ซึ่งหากใครยินดีสละสิทธิ์ไม่ขอรับเบี้ยนี้ รัฐบาลจะมีใบขอบคุณและเชิดชูเกียรติให้ แต่สำหรับผู้สูงอายุคนใดที่ยังต้องการรับเงินเบี้ยยังชีพอยู่ รัฐบาลก็ยังคงมอบสิทธิ์ให้เช่นเดิม ไม่ได้บังคับแต่อย่างใด
คาดว่า นโยบายดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้หลังจากการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบที่ 2 ในเดือน มี.ค. ที่จะถึง ส่วนจะจ่ายให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเพิ่มคนละเท่าไหร่นั้น ต้องขอดูจำนวนผู้สละสิทธิ์ และภาษีบาปจากเหล้า บุหรี่ รวมไปถึงงบประมาณของรัฐประกอบด้วย ซึ่งภาษีสรรพสามิตจากเหล้า บุหรี่ ที่เก็บได้กว่า 1 แสนล้านต่อปี ทางกรมสรรพสามิตได้นำส่งเข้าคลังเพื่อใช้จัดสรรในงบประมาณส่วนต่างๆ และหากจะนำไปจัดตั้งกองทุนชราภาพก็สามารถทำได้เช่นกัน
ถือเป็นนโยบายบุญที่ทำให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีได้สร้างสิ่งดีต่อไปยังผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนให้ได้ยิ้มกับเบี้ยที่จะเพิ่มมากขึ้น นับเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ในบั้นปลายชีวิตที่ทั้งสุขใจผู้ให้ และอิ่มเอมใจผู้รับ ที่เราคนไทยสามารถช่วยเหลือแบ่งปันให้กันและกันได้