การค้ำประกัน คือ การที่เรานั้นยินยอมรับรองให้ผู้ที่ต้องการผ่อนจ่ายทรัพย์ต่าง ๆ นั้น มีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือหากมองอีกมุมหนึ่งก็คือการยื่นกู้ร่วมกัน ซึ่งผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าทรัพย์สินที่ผ่อนจ่ายอยู่ หากเจ้าของทรัพย์ไม่จ่ายหรือหนีหายไป รวมทั้งการติดตามทวงถามเกี่ยวกับหนี้สินที่ต้องผ่อนจ่ายหากไม่สามารถติดตามเจ้าของทรัพย์ได้ ทางบริษัทจะติดตามมาทางคนค้ำเพื่อให้คนค้ำเป็นผู้รับผิดชอบในหนี้สินส่วนที่เหลือ
ในกรณีของการผ่อนจ่ายรถยนต์หากเจ้าของรถยนต์ยินยอมให้ยึดรถยนต์ แต่มีค่าใช้จ่ายส่วนต่างขึ้นมาเมื่อรถยนต์ถูกนำไปขายทอดตลาดแล้วไม่ได้ราคาตามที่บริษัทปล่อยสินเชื่อมาให้ทางผู้กู้ซื้อรถยนต์ การค้ำประกันนั้นค่อนข้างมีความซับซ้อนและมีส่วนที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบร่วมกับเจ้าของทรัพย์ โดยส่วนใหญ่แล้วหากไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจะไม่มีใครที่ยอมค้ำประกันทรัพย์สินให้กัน แต่หากมีความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการต้องเป็นผู้ค้ำประกัน ควรทำความเข้าใจกับการค้ำประกันให้แน่ใจก่อนว่าตัวเราจะสามารถรับผิดชอบในหน้าที่ของผู้ค้ำประกันได้แค่ไหน หากไม่สามารถรับได้ก็ควรที่จะปฏิเสธการค้ำประกันไปจะดีที่สุด
แต่ในกรณีที่เราค้ำประกันรถยนต์ให้ผู้อื่นไปแล้ว อยากมีรถยนต์เป็นของตนเองด้วยการซื้อดาวน์และผ่อนจ่าย ก็สามารถทำได้ แต่ทางบริษัทต่าง ๆ จะเช็คความสามารถในการผ่อนชำระเงินของเรา รวมถึงเช็คหนี้สินที่เรามีอยู่ หากมีชื่อขึ้นว่าเป็นผู้ค้ำประกันและเจ้าของรถยนต์คันที่เราค้ำประกันอยู่มีการผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ตรงตามกำหนดเสมอ จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการออกรถยนต์ของเราเลย แต่หากว่ารถยนต์คันที่เราค้ำประกันกำลังอยู่ในช่วงฟ้องร้อง หรือเป็นคดีความขึ้นมาแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการออกรถยนต์ของเราแน่นอน
หากในกรณีที่รถยนต์คันที่เราค้ำประกันอยู่มีการฟ้องร้องก็ต้องรอให้การฟ้องร้องจบลงก่อน เจ้าของรถยนต์ต้องเคลียร์หนี้สินที่ถูกฟ้องร้องให้เรียบร้อย การค้ำประกันของเราจึงจะหมดวาระไป แต่หากว่าเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวไม่รับผิดชอบในส่วนที่ถูกฟ้องร้องผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบในหนี้สินส่วนนั้น ๆ ทำให้ยังไม่สามารถออกรถยนต์แบบผ่อนชำระได้ จนกว่าหนี้สินที่ผู้ค้ำประกันมีส่วนเกี่ยวข้องจะหมดไปก่อน การค้ำประกันรถยนต์จะต้องร่วมรับผิดชอบรถยนต์คันที่ค้ำประกันไปจนกว่ารถยนต์คันนั้น ๆ จะชำระหนี้แต่ละงวดจนครบ หากโชคดีเจอเจ้าของรถยนต์ที่มีความรับผิดชอบก็ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อผู้ค้ำประกัน
แต่หากโชคร้ายเจอเจ้าของรถยนต์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ หรือในช่วงการผ่อนชำระเกิดมีปัญหาด้านการเงินขึ้นมา เพราะการผ่อนชำระรถยนต์แต่ละคันจะใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 ปี ซึ่งเป็นการผ่อนระยะยาวไม่มีใครที่จะสามารถทราบล่วงหน้าได้เลยว่าระหว่างที่ผ่อนชำระรถยนต์ไปนั้นจะเกิดเหตุใด ๆ ขึ้นมาบ้าง ซึ่งในปัจจุบันจะมีให้เห็นอยู่เสมอว่าผู้ค้ำรถยนต์ส่วนใหญ่ ถูกฟ้องร้องในกรณีที่เจ้าของรถยนต์ไม่มีความรับผิดชอบเป็นจำนวนมาก
หากผู้ค้ำประกันมีความสามารถในด้านทางการเงิน สามารถเคลียร์ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ตนเองต้องรับผิดชอบแทนได้ จากนั้นก็ไปตามเก็บเงินที่จ่ายแทนไปให้กับเจ้าของรถยนต์ ก็จะทำให้การค้ำประกันจบลงได้และทำให้ผู้ค้ำประกันไม่เสียประวัติ ส่งผลให้ง่ายต่อการออกรถยนต์เป็นของตนเอง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการค้ำประกันรถยนต์ให้ผู้อื่น ผู้ค้ำประกันสามารถออกรถยนต์เป็นของตนเองได้ แต่ต้องในกรณีที่เจ้าของรถยนต์คันที่ค้ำประกันมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี ไม่ส่งผลเสียใด ๆ ต่อผู้ค้ำประกัน
อีกทั้งต้องขึ้นอยู่กับประวัติทางการเงินของผู้ค้ำประกัน ว่ามีความสามารถทางการเงินแค่ไหน มีประวัติหนี้เสียอยู่เองหรือไม่ หากมีประวัติขาวสะอาด อัตราเงินเดือนเหมาะสมที่จะผ่อนชำระเงินค่างวดรถยนต์แต่ละงวดได้เป็นอย่างดี บริษัทไฟแนนซ์จะอนุมัติการซื้อดาวน์รถยนต์ให้แก่เราได้อย่างง่ายดาย หากประวัติทางการเงินไม่ค่อยดีนัก มีหนี้เสียติดค้างอยู่ รวมถึงมีปัญหาเกี่ยวกับการค้ำประกันรถยนต์ให้ผู้อื่นอยู่ ก็จะส่งผลทำให้ไม่สามารถออกรถยนต์ในชื่อของตนเองได้ จนกว่าจะเคลียร์หนี้เสียที่เกิดขึ้นจากตัวเราเองและการค้ำประกันให้เรียบร้อยก่อนเท่านั้น จึงจะสามารถออกรถยนต์ในชื่อของตัวเราเองได้
การค้ำประกันรถยนต์ให้แก่ผู้อื่นแม้ว่าจะทำให้ผู้ที่อยากให้เราค้ำประกันให้ปฏิบัติต่อเราเป็นอย่างดี แต่ในระยะยาวอาจจะส่งผลเสียมากมายต่อผู้ค้ำประกันได้ ดังนั้นจึงไม่ควรค้ำประกันใด ๆ ทั้งสิ้นให้แก่ผู้อื่นที่ไม่มีความคุ้นเคยหรือเป็นญาติพี่น้องของตนเอง แม้จะถูกว่าจ้างหรือถูกขอร้องอย่างไรก็ไม่ควรใจอ่อน เพราะแน่นอนว่าในระยะยาวมันไม่คุ้มค่าต่อผู้ค้ำประกันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นมาได้จากการค้ำประกันให้ผู้อื่น
อ่านเพิ่มเติม : รับผิดชอบหนี้รถยนต์ที่ค้ำประกันอย่างไรไม่ให้เสียประวัติ
ในปัจจุบันเรื่องของเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน การเป็นหนี้ระยะยาวแม้ว่าในช่วงแรกอาจจะมั่นใจว่าสามารถรับผิดชอบได้ แต่เมื่อผ่อนชำระหนี้สินไปแล้วหากเกิดปัญหาด้านการเงินขึ้นมามันส่งผลกระทบต่อหนี้สินที่เป็นอยู่ทั้งหมด ไม่เพียงเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่ผู้ค้ำประกันทรัพย์สินเหล่านั้นก็เดือดร้อนไปพร้อมกับเจ้าของทรัพย์สินด้วย หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่ควรค้ำประกันให้ใครโดยเด็ดขาด การปฏิเสธอาจจะทำให้บาดหมางกันเพียงเล็กน้อย แต่มันจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในสิ่งที่เราไม่ได้ก่อได้เสมอ ซึ่งมันเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมคนส่วนใหญ่แล้วไม่นิยมค้ำประกันสิ่งใด ๆ ให้คนอื่น ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าอาจจะเป็นญาติพี่น้องกันก็ตาม คนเหล่านี้ไม่ได้ใจดำหรือไม่มีน้ำใจ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนในวันข้างหน้าให้กับตนเองเท่านั้น