วันนี้ขออนุญาตเอาประสบการณ์การเป็นหนี้ครั้งแรกและครั้งเดียวของผู้เขียนมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันค่ะ คงต้องย้อนเวลากลับไปไกลหน่อย เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว (บ่งบอกอายุผู้เขียน) ตอนนั้นเพิ่งเริ่มทำงานไปได้ 2 ปี ตอนทำงานใหม่ ๆ ก็ใช้รถยนต์คันเก่าของที่บ้านขับไปทำงาน ขอบอกว่ารถคันนั้นเก่ามาก ๆ เป็นรถยนต์ของพ่อที่ใช้งานมานานมาก ให้เราไว้ใช้ขับไปทำงานช่วงเริ่มที่ยังไม่มีเงินเก็บ
ขอบอกว่าตอนนั้นเพื่อนที่เรียนจบด้วยกันมาออกรถใหม่กันแทบทุกคน เราก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเงินเขาเองหรือเงินพ่อแม่ แต่สำหรับครอบครัวเราแล้ว พ่อแม่คงไม่มีเงินออกรถคันใหม่ป้ายแดงให้แน่ ๆ เพราะที่ผ่านมารถที่ใช้ที่บ้านก็มีแต่ซื้อรถมือสองทุกคัน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้นะ ตอนนี้คิดแต่ว่ารถยนต์คันหนึ่งราคาตั้งหลายแสน เงินไม่มีอยู่แล้ว ไม่อยากคิด แล้วก็ยังไม่อยากเป็นหนี้ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานด้วย อาศัยขับรถคันเก่าของที่บ้านไปแบบนี้แหละ ดีแล้ว ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนไหนจะค่าอาหารที่แสนแพง เพราะที่ทำงานอยู่แถวสุขุมวิท แล้วก็ค่าน้ำมันรถกับค่าทางด่วนไปกลับทุกวันก็เล่นเอาอ่วมแล้วค่ะ
คิดย้อนไปทีไรก็นึกขอบคุณที่พ่อยอมให้ใช้รถคันนั้นขับมาทำงาน มันทำให้เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องเดินทางและก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อรถหรือต้องเป็นหนี้ด้วยล่ะ เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนทำงานได้ครบ 2 ปี ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยฟุ่มเฟือยก็เก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง โดยที่ไม่มีเป้าหมายหรอกว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร และก็ประจวบเหมาะกับตอนนั้นรถยนต์คันเก่าที่ใช้งานอยู่อาจถึงคราวหมดอายุที่เราจะต้องบอกลามันแบบจริงจัง เลยมานั่งคุยกับพ่อแม่ตัดสินใจขายรถคันนั้นไป (ไม่น่าเชื่อว่ามีคนซื้อต่ออ่ะ ได้ตั้ง 100,000 บาท) แล้วพ่อก็นัดเจ้าของอู่คนที่รู้จักกันไปดูรถมือสองคันใหม่ที่เต็นท์ใกล้บ้าน
เมื่อไปเลือกดูก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับรถฮอนด้าซีวิค 3 ประตูสีแดง ติดใจกับขนาดที่กะทัดรัด ดูท่าจะไม่เปลืองน้ำมัน อีกอย่างปกติใช้รถคนเดียวอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรถคันใหญ่อะไร พอรวมเข้ากับที่เจ้าของอู่บอกว่ารถคันนี้สภาพดีน่าจะพอใช้ได้ ก็เลยตัดสินใจซื้อด้วยราคาประมาณ 300,000 บาท แต่ตอนนั้นเงินเก็บเรามีไม่ถึง 300,000 บาท เก็บได้ประมาณแค่เกือบสองแสนเท่านั้น พ่อก็เลยบอกว่าที่เหลือพ่อจะจ่ายไปให้ก่อนแล้วค่อยให้เราผ่อนจ่ายคืน เรามานั่งคิดดูราคารถก็ไม่แพงมาก เทียบกับรถป้ายแดง แล้วก็จำเป็นด้วยเพราะต้องขับไปทำงานทุกวัน ก็เลยตกลงตามนั้นได้รถใหม่มือสองคันใหม่ออกมา
และนี่เองเป็นที่มาของการเป็นหนี้ครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียน เป็นหนี้พ่อของตัวเองประมาณ 120,000 บาท จากนั้นก็ผ่อนจ่ายคืนพ่อเดือนละ 5,000 บาท ตอนนั้นจำได้ว่าเงินเดือนประมาณ 17,000 บาท พอเงินเดือนออกก็กดตู้เอทีเอ็มเอามาคืนพ่อทุกเดือนไม่เคยขาดตกบกพร่อง เป็นอย่างนี้อยู่จนครบ 24 เดือน หนี้ก็หมด เราได้กลายเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นอย่างแท้จริง ความรู้สึกมันบอกไม่ถูกเลย ทั้งภูมิใจและรักรถคันนี้แบบสุด ๆ พอจ่ายหนี้รถพ่อครบแล้ว ต่อจากนั้นก็สบายตัวมากขึ้น ช่วงที่จ่ายหนี้ให้พ่อเดือนละ 5,000 บาท ก็ยังเก็บออมต่อเนื่อง ได้อีกเดือนละ 2,000 บ้าง 3,000 บ้าง เก็บไปเรื่อย ๆ เท่ากับว่าพอครบ 2 ปีต่อมา หนี้ก็หมด เงินออมก็เป็นก้อนพอดี จากนั้นก็ออมเงินต่อคราวนี้ออมได้เยอะกว่าเดิม เพราะไม่ต้องจ่ายหนี้พ่อแล้ว เงินในบัญชีเลยพอกพูนเร็วแบบทวีคูณเลยค่ะ
เราใช้รถยนต์ฮอนด้าคันสีแดงนั้นต่อมาอีก 5 ปี ก่อนที่จะตัดสินขายรถไป เพราะกลัวว่าราคาจะตกไปมากกว่านี้ ตอนนั้นถือว่าโชคดีมาก เพราะรถยนต์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ราคาตกไม่มาก ตอนขายเลือกไปขายกับคนที่รู้จักกันได้เงินมา 200,000 บาท ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่ารถยนต์ที่ใช้มา 7 ปี ขายขาดทุนไปแค่ 100,000 บาทเท่านั้น คุ้มเกินคุ้ม เฉลี่ยค่าใช้รถตกปีละไม่ถึง 15,000 บาท แถมตลอดเวลาที่ใช้ รถก็ไม่เคยสร้างความลำบากให้เลย ไม่เคยเสียต้องซ่อมแซม หรือไม่เคยชนหรือถูกชนเลยด้วย โชคดีเป็นของเราจริง ๆ
มองย้อนกลับไป นั่นเป็นหนี้ครั้งแรกและครั้งเดียวของผู้เขียนเท่านั้น เชื่อว่าการที่พ่อไม่ได้ช่วยซื้อรถให้เราเอง แต่ให้เราผ่อนและรับผิดชอบซื้อรถด้วยตัวเองนั้น ทำให้ผู้เขียนมีประสบการณ์ที่ดี ทั้งเรื่องของการเป็นหนี้ทำให้เราต้องวางแผนการเงินให้ดี แม้ว่าเป็นหนี้กับพ่อตัวเองก็ต้องรับผิดชอบจ่ายตามกำหนดให้ครบ ถือว่าพ่อช่วยเราแล้วนะที่จ่ายไปก่อนให้ เมื่อเราซื้อรถเอง เราก็จะรักมันมากเป็นพิเศษ เหมือนกับเราซื้อมันด้วยน้ำพักน้ำแรง จากการทำงานด้วยรายได้ของเราเอง เราก็จะใช้มันด้วยความระมัดระวัง ดูแลรักษาอย่างดี และลึก ๆ มันทำให้ผู้เขียนรู้ว่าการเป็นหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะมันช่วยให้เราได้ของที่จำเป็นมาใช้ในเวลาที่เหมาะสม สำคัญตรงที่เราต้องมีวินัยในการจ่ายหนี้ตามกำหนดแล้ววันหนึ่งหนี้จะหมดลง และจากนั้นรายได้ทุกบาททุกสตางค์ก็จะกลับมาเป็นของเราค่ะ