ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร เป็นชื่อของผู้เขียนหนังสือ “สมองเศรษฐี ความมั่งมีสร้างด้วยสมองและสองมือ” ก่อนที่เราจะไปดูว่าหนังสือเล่มนี้มีดีอะไร และต้องการบอกอะไรเรา เราไปทำความรู้จักผู้เขียนหนังสือเล่มนี้กันก่อนค่ะ คุณขุนเขา เป็นนักจิตวิทยาพัฒนาสมองจากมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศออสเตรเลีย เป็นคนรุ่นใหม่ ปัจจุบันเป็นคอลัมน์นิสต์ประจำนิตยสาร Secret ในคอลัมน์ Mind Management เป็นวิทยากรประจำรายการวิทยุ Bangkok Bright Side คลื่น FM MET 107 และเป็นวิทยากรรับเชิญด้านสมอง จิตวิทยา ศาสตร์ความสำเร็จ และการพัฒนาชีวิต ในสถานศึกษาและบริษัทชั้นนำ จึงถือได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสมองและจิตวิทยาคนหนึ่งในประเทศไทยเลยทีเดียว
ปกติก่อนเปิดอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง ผู้เขียนจะชอบพลิกกลับไปอ่านประวัติของผู้เขียนก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะจะทำให้เข้าใจว่าเรากำลังอ่านงานเขียนของใครอยู่ หลังจากนั้นก็จะพลิกกลับไปอ่านที่ปกหลังเพื่อดูคร่าว ๆ ก่อนว่าหนังสือเล่มนี้มีใจความหลักอยู่ที่เรื่องอะไร และครั้งนี้ก็ไม่ลืมที่จะต้องทำในแบบที่เคยทำมา
ที่ปกหลังของหนังสือเล่มนี้ ได้พิมพ์เอาไว้ว่า อยากรวยแต่ยังฝันอย่างคนจนไม่มีวันรวย อยากรวยแต่ยังคิดอย่างคนจนไม่มีวันรวย อยากรวยแต่ยังทำแบบคนจนไม่มีวันรวย หนังสือเล่มนี้จะสอนวิธี ฝัน คิด และทำแบบเศรษฐีเพื่อสร้างความมั่งมีจาก “ภายใน” สู่ “ภายนอก” ข้อความนี้ดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว อ่านแล้วทำให้สนใจอยากเปิดเนื้อหาด้านใด เพราะใคร ๆ ก็อยากรวยเป็นเศรษฐี พอใครบอกว่ามีวิธีก็ต้องรีบเปิดอ่านทันใด
เนื้อหาภายในหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ตอนใหญ่ ๆ เป็น 3H สู่ความสำเร็จ คือ Heart, Head และ Hand ที่คุณขุนเขาได้แบ่งและเรียบเรียงหัวข้อย่อย ให้ค่อย ๆ เปิดอ่านละเลียดไปได้แบบช้า ๆ ซึมซับความรู้เกี่ยวกับเรื่องการทำงานของสมองที่คนธรรมดาอย่างเราอาจไม่เคยรู้มาก่อน ในระหว่างนั้นก็มีการแทรกข้อคิด คำคมที่คุณขุนเขาเองเป็นผู้คิดขึ้น เป็นข้อความสั้น ๆ ที่อ่านแล้วโดนใจ เหมือนเป็นการพักเบรกจากการอ่านเนื้อหาในแต่ละช่วง แต่ละตอนได้เป็นอย่างดี
“ผมรู้มาตลอดว่าผมจะรวย ผมไม่เคยสงสัยความเชื่อมั่นนี้แม้แต่นาทีเดียว” – วอร์เรน บัฟเฟตต์ คุณขุนเขาได้บอกเอาไว้ว่าเศรษฐีในความหมายของเขาไม่ได้แปลไปทำนองว่าเป็นผู้มีทรัพย์มากอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงผู้ประเสริฐด้วย ดังนั้นคำว่า สมองเศรษฐี จึงหมายถึงการมีสมองที่ประเสริฐ มีปัญญา มีทัศนคติในเรื่องเงินและการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง รู้จักวิธีเรียนรู้การสร้างทรัพย์ควบคู่ไปกับการสร้างความสุขอย่างยั่งยืน ไม่เบียดเบียน หลอกลวง หรือเอาเปรียบผู้อื่น ดังนั้น เศรษฐี ตามความหมายของคุณขุนเขา จึงหมายถึง ผู้ที่มีทรัพย์มาก สุขล้น และพ้นทุกข์ นั่นเอง
- ยิ่งคุณให้ความสนใจสิ่งใด สิ่งนั้นจะขยายใหญ่และชัดเจนเสมอ คุณขุนเขาได้เปรียบเทียบให้เห็นระหว่างภาพสองภาพเป็นภาพเดียวกัน แต่เป็นภาพถ่ายที่เลือกโฟกัสจุดบนภาพแตกต่างกัน ภาพแรกเป็นภาพที่เห็นใบไม้ที่อยู่ใกล้ได้อย่างชัดเจน ส่วนภาพที่สองเป็นภาพที่เห็นภาพใบไม้ใกล้เบลอ ๆ แต่เห็นภาพที่อยู่ไกลออกเป็นภาพถ้วยรางวัลที่ชัดเจน เขาต้องการบอกให้เรารู้ว่าการมุ่งโฟกัสไปยังเป้าหมายอยู่เสมอนั้นมันมีความสำคัญอย่างไร มันจะทำให้เราเห็นภาพเป้าหมายนั้นอย่างชัดเจนอยู่เสมอนั่นเอง การมัวแต่เพ่งมองอุปสรรคที่กั้นขวางอยู่ก็รังแต่จะทำให้เดินไปถึงจุดหมายได้ยาก และแถมอุปสรรคเหล่านั้นก็ยังจะบดบังเป้าหมายของเราให้อยู่ห่างไกลออกไปทุกที
- ความผิดพลาดที่ถูกต้อง VS ความผิดพลาดที่ผิด ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน คุณขุนเขาไปแบ่งความผิดพลาดออกเป็น 2 ประเภท คือความผิดพลาดที่ถูกต้อง กับความผิดพลาดที่ผิด อ่านต่อแล้วจะไม่งงค่ะ ความผิดพลาดที่ผิดก็คือความผิดพลาดที่เกิดแล้วก็ลืมไป มีแต่เอามาบ่น คิดวนเวียนหมกมุ่น นั่งเสียใจ ตีอกชกหัวตัวเอง โดยไม่คิดอยากปรับปรุงหรือแก้ไขอะไร ส่วนความผิดพลาดที่ถูกต้องคือความผิดพลาดที่เมื่อผิดแล้ว เกิดการเรียนรู้ มีการนำไปปรับปรุงและพัฒนาต่อให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้ผิดเรื่องเดิมอีก
- ต่อให้คุณยุ่งแค่ไหน คุณก็จะมีเวลาให้สิ่งที่สำคัญสำหรับคุณเสมอ นี่เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นตามที่เขียนไว้ในหนังสือเลย ลองคิดตามนะ ถ้าการนอนแต่หัวค่ำสำคัญ คุณจะมีเวลานอนที่เพียงพอ ถ้าละครหลังข่าวเป็นเรื่องสำคัญ คุณจะมีเวลาดูมัน ถ้าการทำงานเพิ่มวันละ 3 ชั่วโมงสำคัญ คุณจะมีเวลาหารายได้เพิ่ม ถ้าการออกกำลังกายวันละ 20 นาที สำคัญคุณจะมีเวลาทำมัน ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม! ดังนั้นถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลาทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นั่นหมายความว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญพอที่คุณจะจัดเวลาให้กับมัน ดังนั้นปัญหาของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เวลาไม่พอ แต่อยู่ที่มีวินัยไม่พอมากกว่า
- รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน กับผลวิจัยมาร์ชแมลโลว์ คุณขุนเขาได้ยกเอางานวิจัยอันโด่งดังที่ได้ทำขึ้นเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วในต่างประเทศมาให้อ่านกันอีกรอบ มีการให้เด็กเข้าทดลองโดยวางมาร์ชแมลโลว์ไว้ที่ข้างหน้าคนละชิ้น ก่อนเดินออกไปผู้ทดลองบอกว่าถ้ากลับมาเด็กคนใดอดใจไม่กินมาร์ชแมลโลว์ คนนั้นจะได้รับขนมเพิ่มอีก 1 ชิ้น แน่นอนการทดลองนี้มีทั้งเด็กที่อดใจได้และอดใจไม่ได้ มีการติดตามผลการทดลองต่อมาอีกหลายสิบปี ไม่น่าเชื่อว่าถึงวัยเรียนและเป็นผู้ใหญ่ เด็กทุกคนที่อดใจไม่กินมาร์ชแมลโลว์ในตอนนั้นมีผลการเรียนที่ดีกว่า มีสุขภาพดีกว่า มีรายได้ดีกว่า มีการงานที่ดีกว่า มีชีวิตคู่ที่ดีกว่า มีความพึงพอใจกับชีวิตที่มากกว่า มีระเบียบวินัยมากกว่า และมีทักษะในการแก้ปัญหาชีวิตได้ดีกว่า นี่เองที่แสดงให้เห็นว่าการรู้จักควบคุมความอยากของตัวเองได้ มีผลกับความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ