สำหรับบัตรที่รูดเงินเพื่อใช้จ่ายนั้น หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ “บัตรเครดิต” กันเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีบัตรอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “บัตรเดบิต” ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกับบัตรเครดิต เพียงแต่เงินที่จะถูกนำไปรูดนั้น จะเป็นเงินที่เราฝากไว้เอง ต่างจากบัตรเครดิตที่มีลักษณะเหมือนกับการกู้เงินมาใช้ก่อน แล้วค่อยผ่อนใช้คืนทีหลัง
หากฟังดูเผิน ๆ บัตรเดบิตเหมือนจะดีกว่าบัตรเครดิตอยู่พอสมควร เพราะดูแล้วไม่ต้องเป็นหนี้ใคร แต่การที่เงินในบัตรเป็นเงินของเราเองนี้ มันก็อาจสร้างปัญหาให้กับเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบัตรเดบิตถูกขโมยไป เหมือนอย่างที่ได้มีผู้ใช้เว็บพันทิปท่านหนึ่ง ได้มาตั้งกระทู้ https://pantip.com/topic/36984000 แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการถูกขโมยบัตรเดบิตไปใช้งาน สรุปความได้ว่า เจ้าของกระทู้ได้ลืมบัตรเดบิตไว้ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งใกล้บ้าน มีผู้เก็บได้แล้วนำมาฝากไว้กับร้าน จากนั้นได้มีพนักงานแอบลักลอบนำไปรูดซื้อของ เป็นมูลค่ากว่า 8,000 บาท ซึ่งเจ้าของกระทู้ก็ได้ดำเนินการเพื่อจะดำเนินคดี และนำเงินกลับคืนมา แต่บทสรุปของเรื่องนี้กลับกลายเป็นว่า ทางธนาคารไม่สามารถนำเงินมาคืนให้ได้ โดยอ้างว่าเจ้าของกระทู้ทำผิดเงื่อนไขในเรื่องที่ไม่ปกป้องบัตรของตน ปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้รหัสบัตรแล้วนำไปกระทำการโดยทุจริตได้
ขณะนี้เรื่องกำลังอยู่ในขั้นดำเนินการติดตามหาตัวผู้กระทำความผิด นอกจากนี้เจ้าของกระทู้ยังได้บ่นถึงสัญญาการทำบัตรที่ค่อนข้างกำกวม เอื้อประโยชน์ให้แก่ธนาคารเพียงฝ่ายเดียว และระบบบัตรเดบิตที่ค่อนข้างหละหลวม จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
หลังจากที่เจ้าของกระทู้ได้มาแชร์ประสบการณ์แล้ว ก็ได้มีสมาชิกเว็บไซต์ท่านอื่น ๆ มาให้คำแนะนำ บางส่วนได้ตำหนิธนาคาร ว่าไม่ตรวจสอบลายมือชื่อเจ้าของบัตรให้ตรงกันก่อน เป็นเหตุให้เจ้าของกระทู้ต้องสูญเงินเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะได้รับเงินคืนหรือไม่
จากเรื่องราวในกระทู้นี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า บัตรเดบิตนั้นมีข้อเสียตรงที่เงินที่สามารถรูดได้จากบัตรใบนี้ จะเป็นเงินที่เราฝากไว้เอง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นช่องว่างที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธความรับผิดชอบเงินที่สูญเสียไปได้ ในขณะที่หากเป็นบัตรเครดิตจะเป็นเงินของธนาคารที่ปล่อยให้เราใช้แล้วผ่อนคืนทีหลัง โดยเราสามารถปฏิเสธยอดเงินได้หากตรวจสอบได้ว่าบัตรเครดิตของเราถูกขโมยไปกระทำการอันมิชอบ หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของธนาคาร ที่จะไปไล่เบี้ยยอดเงินที่หายไปนั่นเอง ซึ่งบัตรเดบิตโดยมากมักจะถูกเอามาเป็น option ควบรวมกับบัตร ATM โดยที่มีหลายธนาคาร มักทำบัตรเดบิตให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ แทนที่จะทำ ATM ธรรมดาให้ ดังนั้น หากผู้ต้องการเปิดบัญชีใหม่ท่านใด คิดว่าตัวเองไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้บัตรเดบิต ก็ขอให้แจ้งธนาคารให้ทำบัตร ATM ธรรมดาให้ดีกว่า หรือหากจำเป็นต้องทำบัตรเดบิตจริง ๆ ก็ควรให้ธนาคารตั้งวงเงินในบัตรไว้ให้เป็น 0 เพื่อที่จะได้ไม่ถูกนำไปรูด ในกรณีที่บัตรหายหรือถูกขโมย
ทีนี้ กลับมาเข้าประเด็นที่เป็นหัวข้อของเรากันต่อ ว่าถ้าเกิดบัตรเดบิตหาย แล้วมีผู้ลักลอบนำไปรูดโดยพลการ เราจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยจำแนกออกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
- เมื่อพบว่าบัตรหาย ให้รีบแจ้งธนาคารทันที อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปนาน ๆ จนกระทั่งพบว่าบัตรถูกนำไปรูดเสียแล้ว เพื่อให้ธนาคารรีบดำเนินการอายัดบัตร หรือทำการอื่นใดเพื่อปกป้องเงินของเราเอาไว้ในเบื้องต้นก่อน
- ทำการแจ้งความที่สถานีตำรวจให้เรียบร้อย แล้วรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่ยืนยันตัวตนของเราว่าเป็นเจ้าของบัตร แล้วติดต่อธนาคาร เพื่อให้ธนาคารดำเนินการติดตามความเคลื่อนไหวในบัตรของเราได้
- หากพบว่าบัตรมีการถูกรูด จนเงินเก็บสูญหายไป ให้แจ้งยอดเงินที่สูญหายไปนี้แก่ธนาคาร
- หากธนาคารปฏิเสธความรับผิดชอบยอดเงินที่หายไปนี้ จงอย่ายินยอมรับโดยเด็ดขาด เนื่องจากการที่เงินเก็บของเราถูกใครก็ไม่รู้รูดจนสูญหายไปนี้ ถือเป็นตัวบ่งบอกความหละหลวมของธนาคาร และร้านค้าที่มีการยินยอมให้รูดบัตรอย่างหนึ่ง ที่ไม่ตรวจสอบลายมือชื่อว่าของผู้รูดกับของเจ้าของบัตรตรงกันหรือไม่ แล้วปล่อยให้มีการรูดบัตรเกิดขึ้น จงทวงถามความรับผิดชอบจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านี้ให้ได้
- เมื่อดำเนินการตามข้อ 4 แล้ว หากพบว่าไม่ได้ผล ธนาคารยังคงเตะถ่วงเรื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ ตามเหตุผลในข้อ 4 ให้เรารวบรวมหลักฐานทั้งหมดให้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสัญญาการทำบัตรของธนาคาร ขอให้ทำการบ้านส่วนนี้ให้เยอะ ๆ รับรองว่าหนทางชนะคดีมีสูง