มีเงินก้อน ลงทุนหุ้น VS ที่ดิน แบบไหนให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน?
การลงทุน หุ้น และที่ดิน ถือเป็นสองทางเลือกการลงทุนยอดนิยมที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ ซึ่งหากเรามีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือเลือกลงทุนในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะสร้างกำไรได้ ซึ่งผลตอบแทนจากหุ้น และที่ดินอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บทความนี้จึงจะเปรียบเทียบการลงทุนทั้งสองประเภท เพื่อให้เราสามารถพิจารณาได้ว่าการลงทุนหุ้น vs ที่ดิน แบบใดให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจ
ลงทุนหุ้น หรือที่ดิน แตกต่างกันอย่างไร?
การลงทุนหุ้น และที่ดิน สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 2 ทางคือ กำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ เกิดขึ้นเมื่อมีการขายในราคาที่มากกว่าราคาเดิม (Capital Gain) และรายได้จากสินทรัพย์โดยตรง เช่น ค่าเช่าหรือเงินปันผล เป็นต้น สำหรับข้อแตกต่างของการลงทุนหุ้น และที่ดิน คือมูลค่าของที่ดินอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่ราคาหุ้นสามารถเพิ่มขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับแนวโน้มของการนักลงทุน และภาวะความผันผวนของตลาด รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการแข็งค่าของเงิน เศรษฐกิจ การเมือง ดัชนีความเชื่อถือ และประเด็นอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาของหุ้นโดยรวม
รวมข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนหุ้น VS ที่ดิน
ก่อนที่จะเริ่มลงทุน เราควรศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ของการลงทุนทั้ง 2 ประเภท เพื่อประเมินว่ามีประโยชน์ และความเสี่ยงอย่างไร นอกจากนี้ เราควรพิจารณาว่าการลงทุนแบบไหน ตอบโจทย์ และตรงกับเงื่อนไขการลงทุนของเรามากที่สุด โดยเราสามารถประเมินได้จากข้อมูลด้านล่างนี้
การลงทุนในรูปแบบของหุ้น
การลงทุนหุ้น (Stock Investment) ถือเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากมีหุ้นหลายประเภทให้เราเลือก อีกทั้งยังสามารถขาย-ซื้อได้คล่อง มีทั้งลงทุนระยะสั้นและระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ โดยการลงทุนประเภทนี้ มีข้อดี-ข้อเสียที่นักลงทุนควรรู้ ดังนี้
จุดเด่น :
- ศักยภาพในการให้ผลตอบแทนสูง: ลงทุนหุ้น มักมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูง เมื่อลงทุนในระยะยาว ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้น และบริษัทที่เราเลือกลงทุนด้วย
- สภาพคล่องสูง : หุ้นมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง เนื่องจากเราสามารถซื้อ และขายหุ้นได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุน และได้เงินสดในระยะเร็ว
- การกระจายการลงทุน : การลงทุนในหุ้นสามารถช่วยกระจายพอร์ตการลงทุน และลดความเสี่ยงของคุณ ทั้งนี้ เราควรพิจารณาจากความเสี่ยง รวมถึงมูลค่าที่จะได้รับในอนาคต
- เข้าถึงง่าย : การลงทุนในหุ้นค่อนข้างเข้าถึงง่ายกว่าการลงทุนในที่ดิน เพราะมีราคาที่ต่ำกว่า โดยเราสามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม :
- ความเสี่ยง: การลงทุนมีความเสี่ยงอยู่เสมอ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น เพราะมูลค่าหุ้นสามารถลง และขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัย รวมถึงความผันผวนของตลาดในช่วงนั้น
- ความผันผวน: นักลงทุนหลายรายที่ลงทุนในหุ้น มักมีข้อกังวลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่สามารถผันผวนได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ เราจึงควรติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
- ค่าใช้จ่าย: นอกจากเงินในการลงทุนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้น เช่น ค่าคอมมิชชั่น และค่าธรรมเนียม เป็นต้น
- ความซับซ้อนในการลงทุน : การลงทุนในหุ้นอาจมีความซับซ้อนมากกว่าที่ดิน ตรงที่เราต้องฝึกอาจกราฟ และติดตามมูลค่าของหุ้น รวมถึงศึกษากำไรของบริษัทที่เราต้องการลงทุนด้วยย้อนหลัง เพื่อให้มั่นใจได้จริงๆ ว่าหุ้นที่เราถืออยู่จะสร้างกำไรได้ในอนาคต
การลงทุนในรูปแบบของที่ดิน
การลงทุนที่ดิน ถือเป็นการลงทุนในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ (Property Investment) โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะทำกำไรจากการขายที่ดินเมื่อมูลค่าสูงขึ้น หรือลงทุนด้วยการปล่อยเช่า และเก็บค่าเช่าจากลูกบ้านแทน โดยการลงทุนประเภทนี้ มีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
จุดเด่น :
- มูลค่าสูงในระยะยาว: หากเราเลือกทำเลที่ดี เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มูลค่าของที่ดิน จะเพิ่มสูงขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงในระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคง
- อุปทาน (Supply) มีไม่เยอะ: คู่แข่งในการขายที่ดิน ยังมีอัตราที่น้อยกว่า เนื่องจากมูลค่าของที่ดินมีค่อนข้างสูง ทำให้หลายคนไม่ค่อยซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร ทั้งนี้ เมื่อคู่แข่งมีน้อย ก็มีผลดีต่อราคาของที่ดิน ทำให้เราไม่ต้องลดราคาเพื่อแข่งการขายที่ดินในอนาคตได้
- การกระจายการลงทุน: การลงทุนในที่ดิน ช่วยให้เราสามารถกระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงด้านการขาดทุนให้น้อยลง
- สินทรัพย์จับต้องได้ : ที่ดินถือเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน สามารถจับจองได้ และมีลายลักษณ์อักษรในการแสดงเป็นเจ้าของ ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินโดยรวมของเราได้
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: การลงทุนในที่ดิน มอบสิทธิประโยชน์ และการลดหย่อนภาษี
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม :
- ขาดสภาพคล่องทางการเงิน : การลงทุนในที่ดินอาจมีสภาพคล่องต่ำ เนื่องจากเราไม่สามารถขายอย่างรวดเร็ว เพื่อแลกเป็นเงินสดเหมือนกับรถยนต์หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
- มีต้นทุนสูง: การซื้อที่ดินอาจเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการ หรือทำเลดี ติดใจกลางเมือง เราจึงควรแบ่งเงินสำหรับส่วนอื่น ๆ นอกจากการลงทุน
- ความเสี่ยง: การลงทุนมีความเสี่ยงอยู่เสมอ และที่ดินก็ไม่มีข้อยกเว้น เพราะมูลค่าของที่ดินสามารถเพิ่ม-ลดลงได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดในช่วงนั้น
- จัดการลำบาก: หากเราลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในที่ดินอาจจัดการลำบาก โดยเฉพาะการลงทุนด้วยการปล่อยเช่าที่ เพราะเราต้องเข้ามาดูแลพื้นที่อยู่เสมอ
- กฎระเบียบจำนวนมาก: มีข้อบังคับหลายฉบับที่สามารถนำไปใช้กับการถือครองที่ดิน เพิ่มความซับซ้อนในการลงทุนในที่ดินมากขึ้น เราจึงควรวางแผนให้ดีก่อนซื้อที่ดินทุกครั้ง
จะเห็นได้ว่า ลงทุนที่ดินกับลงทุนหุ้น ล้วนมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างไป ดังนั้นก่อนเริ่มลงทุน เราจึงควรศึกษาความเสี่ยง และปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงไม่ควรใช้เงินร้อน (เงินสำรองฉุกเฉิน) แต่ควรใช้เงินเย็นในการลงทุนเฉพาะ เพื่อป้องกันปัญหาด้านการขาดสภาพคล่องทางการเงินในอนาคตนั่นเอง