บ้านผ่อนตรง คืออะไร มีข้อดียังไง ต่างกับผ่อนธนาคารยังไง ทำไมถึงควรซื้อ
เชื่อว่า บ้าน เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ของใครหลายคน ที่อยากมีเป็นของตน ยิ่งในยุคเศรษฐกิจไม่ค่อยจะสู้ดี มีทั้งปัญหาเงินเฟ้อ และปัจจัยอื่น ๆ มากมายยิ่งยากในการเอื้อมถึง โดยเฉพาะประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงเรื่องดอกเบี้ยบ้านผ่อน 30 ปีที่รวมแล้ว ๆ พุ่งกระฉูดทำให้หลายคนเริ่มมองหาวิธีการอื่น หนึ่งในนั้นคือ บ้านผ่อนตรง ซึ่งบ้านผ่อนตรง คืออะไร มีข้อดียังไง ทำไมถึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจไปหาคำตอบพร้อมกัน
บ้านผ่อนตรง คืออะไร?
มาเริ่มกันที่ความหมายของ บ้านผ่อนตรง จะถูกจัดเป็นหนึ่งในการเช่าซื้อ หรือเป็นการทำสัญญาเช่าพร้อมสิทธิ์ในการซื้อทรัพย์นั้น ๆ ในราคาที่ตกลงกันไว้โดยจะเหมาะกับกลุ่ม
- คนที่มีข้อจำกัดและไม่พร้อมกู้ธนาคาร เช่น การติดเครดิตบูโร ติดแบลคลิสต์ มีรายได้ไม่สม่ำเสมอและยังไม่มีสลิปเงินเดือน
- ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและอาชีพฟรีแลนซ์
- ผู้ที่ต้องการซื้อทรัพย์สินที่สูงกว่าราคาวงเงินกู้ ผู้ที่ต้องการความสะดวก หรือต้องการความยืดหยุ่นในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ที่ไม่ต้องการเป็นหนี้จากการกู้ธนาคาร
ข้อดี-ข้อเสียของบ้านผ่อนตรง
ต่อมาจะเทียบให้เห็นข้อดีข้อเสียของวิํธีการซื้อบ้านแบบผ่อนตรงเพื่อนำไปพิจารณาถึงความเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการหรือไม่
ข้อดี
- ไม่ต้องยุ่งยากในการยื่นกู้กับธนาคาร
- หลังทำสัญญาย้ายเข้ามาอยู่ได้ทันที
- ได้ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกว่า ก่อนที่ราคาสูงขึ้นในอนาคต
- ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบประวัติสถานะทางการเงินเป็นมีหนี้เท่าไรก็กู้ได้
- ไม่มีความเสี่ยงที่ผู้เช่าซื้อจะเป็นหนี้เนื่องจากการเช่าซื้อ สามารถยกเลิกได้โดย ไม่มีภาระผูกพัน
- ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจกับเจ้าของบ้านและผู้ซื้อเป็นสำคัญ
ข้อเสีย
- ส่วนใหญ่การผ่อนจะเป็นลักษณะดอกเบี้ยคงที่ (ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี) ซึ่งต่างกับลักษณะดอกเบี้ยกับการผ่อนธนาคารที่มีลักษณะดอกเบี้ยคงที่และดอกเบี้ยลอยตัวที่ยังมีโอกาสลดเพิ่มจากการรีไฟแนนซ์
- มีโอกาสที่เจ้าของบ้านบอกเลิกสัญญาได้และหากมีการผิดนัดชำระเงินที่จ่ายมาก่อนหน้าเงินจะตกเป็นของเจ้าของบ้านโดยปริยาย
- ขาดความยืดหยุ่นในการผ่อนหากเกิดวิกฤตต่าง ๆ เช่น Covid-19 ว่างงานไม่สามารถผ่อนต่อได้อาจส่งผลให้บ้านถูกยึดได้
เงื่อนไขซื้อบ้านผ่อนตรง
โดยส่วนใหญ่การซื้อบ้านแบบผ่อนตรง จะมีการกำหนดเงื่อนไขได้แก่ การระบุระยะเวลาสัญญา 3 ปี โดยผู้เช่าซื้อโดยใช้สิทธิ์การซื้อได้ตลอดอายุสัญญาซึ่งผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายเงินดาวน์พร้อมเงินเช่าซื้อในเดือนแรกก่อนย้ายเข้าและทุกเดือนผู้เช่าซื้อจำเป็นต้องจ่ายเงินเป็นค่าเช่าและค่าซื้อให้ตรงตามกำหนด รวมถึงผู้เช่าซื้อเองก็มีโอกาสต่อสัญญาหลังหมดสัญญา โดยการคำนวนราคาใหม่
วางแผนซื้อบ้านผ่อนตรงอย่างไรให้คุ้มค่า
- รู้ความสามารถในการกู้ และจำนวนเงินที่ต้องผ่อนกับเจ้าของในแต่ละงวด เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขตายตัวเพราะขึ้นอยู่กับการตกลงของเจ้าของบ้านและผู้ซื้อซึ่งอาจจะจำกำหนดจากความสามารถในการผ่อนโดยการคำนวณจากรายได้ เช่นหากคุณมีเงินเดือน 20,000 บาท สามารถผ่อนให้ได้เดือนละ 9000 โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 15% ก็มาลองคำนวณเป็นแผนเลยว่าจะใช้เวลากี่ปีถึงผ่อนหมดและเจ้าของบ้านสามารถรับได้หรือไม่ ?
จากสูตร (รายได้ต่อเดือน) X (60 เท่าของรายได้) = (ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้)
= 20,000 X 60 เท่า เท่ากับ 1,200,000 บาท ซึ่งเป็นราคาบ้านที่กู้ซื้อได้
ส่วนความสามารถในการผ่อนคิดจาก (รายได้ต่อเดือน) X (30% หรือ 40%) = (ความสามารถผ่อนบ้านกับโครงการ)
= 20,000 บาทต่อเดือน X 30% = 7,000 บาทต่อเดือน - เก็บออมเงินดาวน์ ซึ่งควรจะวางเงินดาวน์ที่ 15 – 30% จากยอดบ้านทั้งหมดโดยคำนวณจากราคาบ้านที่ต้องการซื้อเช่น หากประเมินความสามารถในการซื้อไว้ 1.2 ล้าน แต่อยากได้ราคาที่สูงกว่า 1.5 ก็สามารถทำได้หากเจ้าของโครงการตกลงซึ่งก็จะต้องวางเงินดาวน์ 25% จากค่าบ้าน 1.5 ล้านก็จะอยู่ที่ประมาณ 375,000 บาท จึงต้องเตรียมเงินเก็บสำหรับวางดาวน์ให้พร้อมก่อน
- ทำสัญญา ตรวจสอบรายละเอียด ต่อมาก่อนวางเงินดาวน์ก็จะต้องตรวจสอบสัญญา รายละเอียดการผ่อน ดอกเบี้ยและการชำระหนี้ในแต่ละเดือนว่าถูกต้องตกตามที่ตกลงหรือไม่ หากถูกต้องหลังวางเงินดาวน์ พร้อมเงินผ่อนจ่ายล่วงหน้า 1 เดือนก็สามารถเข้าอยู่ได้ทันที
- ชำระค่าบ้านให้ตรงเวลา โดยจะต้องชำระค่างวดในแต่ละเดือนให้ตรงตามกำหนดเพราะจะไม่มีความยืดหยุ่นเท่ากับการผ่อนกับธนาคารที่หากผิดนัดชำระหนี้ก็อาจจะมาพูดคุยกับธนาคารเพื่อผ่อนผันได้ แต่สำหรับเจ้าของบ้านก็สามารถมาพูดคุยได้ในการปรับเรทการผ่อนชำระใหม่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเจรจาและความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
คงจะพอตอบคำถามได้แล้วว่า บ้านผ่อนตรง คืออะไร มีข้อดียังไง ? ซึ่งบ้านผ่อนตรงจะเหมาะกับคนที่ไม่อยากผ่อนบ้านกับธนาคารอาจจะมาจากการประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือมีประวัติทางการเงิน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีข้อดีที่เห็นได้ชัด คือ ไม่ยุ่งยากเรื่องเอกสารยื่นกู้กับธนาคารและหลังทำสัญญาก็ย้ายเข้าได้ทันที แต่ก็มีข้อเสียที่จะต้องพิจารณาอยู่พอสมควร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูงและต่างจากการคิดแบบลดต้นลดดอกเหมือนธนาคาร และไม่มีการรีไฟแนนซ์บ้านที่จะช่วยลดดอกทุก ๆ 3 ปี
นอกจากนี้ หากขาดการผ่อนชำระบ้านอาจจะถูกยึดและเงินที่ผ่อนไปก็อาจจะสูญเปล่า จึงต้องมีการวางแผนทางการเงินให้ดีตั้งแต่ราคาบ้าน ความสามารถในการกู้ และความสามารถในการผ่อนแต่ละเดือน รวมถึงการเก็บเงินดาวน์ที่ควรอยู่ระหว่าง 15 – 30% เพราะดอกเบี้ยที่สูง รวมถึงการตรวจสอบสัญญาต่าง ๆ และเงื่อนไขให้ละเอียดและมีวินัยในการผ่อนชำระที่ต้องตรงเวลาโดยไม่ควรผิดนัดชำระนั่นเอง