หนี้สินเชื่อ หยุดจ่าย 1 เดือนเป็นอะไรมั้ย?
การมีหนี้สินไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าหากมีแล้วไม่ยอมจ่าย ผิดแน่นอน ถึงแม้ว่าการมีหนี้สินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อสำหรับการกู้เงินซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ เพื่อทำธุรกิจ หรือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในครอบครัว ถึงแม้ว่าการก่อร่างสร้างตัวจะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเรามีหนี้สินเยอะเกินรายได้ อาจทำให้จ่ายเงินไม่ไหว จนอยากจะทิ้งหนี้ก้อนนั้นไปเสีย แต่สงสัยกันไหมว่า หนี้สินเชื่อ หยุดจ่าย 1 เดือนเป็นอะไรมั้ย? ในวันนี้เราได้มาเปรียบเทียบเกี่ยวกับผลกระทบสำหรับการหยุดจ่ายหนี้สินเชื่อ พร้อมดูแนวทางการแก้ไขหนี้สินเชื่อไปพร้อมกัน ใครที่กำลังประสบปัญหามาดูไปพร้อมกันได้เลย
หนี้สินเชื่อ หยุดจ่าย 1 เดือนเป็นอะไรมั้ย?
ไม่จ่าย สินเชื่อ ส่วน บุคคล 1 เดือน จะเป็นอะไรไหม? สำหรับใครที่อยากหยุดจ่ายหนี้สินเชื่อ อาจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากการหยุดจ่ายหนี้สินเชื่อจะส่งผลกระทบต่อการเงินแน่นอน โดยสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้คุณจะมีสิทธิ์เรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยปกติหลายเท่าตัว นอกจากนี้ สถาบันการเงินอาจส่ง SMS หรือโทรมาทวงถามหนี้จากคุณ และอาจนำข้อมูลของคุณไปรายงานต่อบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ซึ่งอาจส่งผลต่อเครดิตของคุณในอนาคต และทำให้เกิดปัญหาความเครียดตามมา
ผิดนัดชำระหนี้ธนาคาร กระทบอะไรบ้าง?
นอกจากปัญหาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว หากเรามีประวัติผิดนัดชำระหนี้ หรือไม่หยุดจ่ายสินเชื่อโดยไม่ยอมติดต่อธนาคาร ทางเครดิตบูโร (Credit Bureau) ซึ่งหน่วยงานทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลพฤติกรรมการกู้ยืมและการชำระหนี้ จะทำการบันทึกข้อมูลดังกล่าวลงในระบบ และจะส่งผลต่อคะแนนเครดิตของคุณ ทำให้ไม่สามารถสมัครสินเชื่อหรือบัตรเครดิตได้
ซึ่งถ้าใครวางแผนซื้อบ้าน หรือรถยนต์ในอนาคต อาจทำให้การขอสินเชื่อเป็นไปได้ยากลำบาก เนื่องจากการขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินอื่น ทางสถาบันการเงินเหล่านั้นอาจขอดูรายงานเครดิตของคุณก่อนอนุมัติสินเชื่อ และหากมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ สถาบันการเงินอาจพิจารณาปฏิเสธคำขอของคุณ จนทำให้เราไม่สามารถซื้อบ้านหรือรถยนต์ในฝันได้
เป็นหนี้แล้วไม่จ่ายมีผลเสียเรื่องอะไรบ้าง
- เสียดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ : ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยปกติหลายเท่าตัว เช่น หนี้บัตรเครดิต หากผิดนัดชำระหนี้ 1 เดือน จะต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ 15% ของยอดค้างชำระ
- ถูกทวงหนี้ : โดยสถาบันการเงินหรือบริษัททวงหนี้ ซึ่งอาจสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับลูกหนี้ แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง หน้าที่การงาน และก่อให้เกิดความเครียดด้วย
- อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดี : หากลูกหนี้ยังคงไม่ชำระหนี้ สถาบันการเงินอาจฟ้องร้องดำเนินคดีลูกหนี้เพื่อเรียกหนี้คืน ซึ่งอาจทำให้ลูกหนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล เป็นต้น
- มีประวัติเสียในเครดิตบูโร : ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสในการขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอนาคต รวมถึงทำให้หมดสิทธิ์ในการสมัครกู้สินเชื่อการซื้อบ้านหรือรถยนต์ได้
- ถูกยึดทรัพย์สิน : หากลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ สถาบันการเงินอาจยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำไปขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้
แนวทางการแก้ไขหากผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อ
หากมีการผิดนัดชำระหนี้ 1 เดือนแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือติดต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้คุณเพื่อขอผ่อนชำระหนี้ โดยเราสามารถขอผ่อนชำระหนี้ได้หลายวิธี เช่น ผ่อนชำระเป็นงวดๆ ผ่อนชำระแบบลดต้นลดดอก หรือผ่อนชำระแบบลดต้นคงงวด เป็นต้น รวมถึงพยายามหาเงินมาชำระหนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และป้องกันไม่ให้มีประวัติการผิดนัดชำระในเครดิตบูโร
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นหนี้แล้วไม่จ่าย
- วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ : ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ควรวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาถึงรายได้และรายจ่ายที่มีอยู่ หากพบว่ามีรายได้ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ ควรลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง หรือหารายได้เพิ่ม
- มีเงินสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน : ควรมีเงินสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น หากตกงาน หรือมีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เกิดขึ้น เงินสำรองจะช่วยให้คุณมีสภาพคล่องทางการเงิน และสามารถชำระหนี้ได้โดยไม่สะดุด
- ตรวจสอบยอดหนี้และวันครบกำหนดชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ : ควรตรวจสอบยอดหนี้และวันครบกำหนดชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้พลาดการชำระหนี้ และหากพบว่ายอดหนี้เพิ่มขึ้นหรือวันครบกำหนดชำระหนี้ใกล้เข้ามา ควรรีบหาเงินมาชำระหนี้
- ขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตอย่างเหมาะสม : ควรขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเอง หากขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตมากเกินไป อาจทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว
- เจรจากับเจ้าหนี้หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ : หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ ควรเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน เช่น ขอผ่อนชำระหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น
หวังว่าความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการเป็นหนี้สินเชื่อ จะทำให้หลายคนหันมาทบทวนแนวทางการชำระหนี้สิน และหาวิธีป้องกันเพื่อใม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินใอนาคต โดยการปฏิบัติตามวิธีป้องกันเหล่านี้ จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัญหาการเป็นหนี้แล้วไม่จ่าย และมีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ไม่ยาก