ต่อใบขับขี่ 2567 ยังไง ใบขับขี่หมดอายุ ต่อออนไลน์ได้ที่บ้าน

ในปัจจุบันการต่อใบขับขี่ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และเสียเวลาอีกต่อไปแต่อย่างใด ทางสำนักงานขนส่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทำบางขั้นตอนด้วยวิธีออนไลน์ได้ เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่า ต่อใบขับขี่ 2567 ยังไง หรืออบรมผ่าน e-learning ต้องทำอย่างไร เพื่อเตรียมตัวเอาไว้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในภายหลัง

ต่อใบขับขี่ 2567 ยังไง

ปัจจุบันใบขับขี่มีอยู่ 2 ประเภท ประกอบไปด้วยใบขับขี่ชั่วคราว 2 ปีและใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปี ซึ่งการเตรียมเอกสารเพื่อต่อใบขับขี่แต่ละประเภทก็จะแตกต่างกันออกไป ดังนี้

เอกสารต่อใบขับขี่ชั่วคราว 2 ปีเป็นใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปี

1. ใบขับขี่ชั่วคราว 2 ปี
2. บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง
3. ใบรับรองแพทย์ เพื่อแสดงว่าผู้ขอใบขับขี่เป็นผู้ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ยานพาหนะได้ ไม่เป็นผู้จิตฟั่นเฟือน หรือวิกลจริต ใบรับรองแพทย์มีอายุที่สามารถใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้ออกใบรับรองกำหนด แต่จะต้องออกก่อนวันที่เรายื่นคำขอเป็นเวลาไม่เกิน 1 เดือน

เอกสารต่อใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปี

1. ใบขับขี่ตัวจริงฉบับเดิม
2. บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง
3. ใบรับรองแพทย์ เพื่อแสดงว่าผู้ขอใบขับขี่เป็นผู้ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ยานพาหนะได้ ไม่เป็นผู้จิตฟั่นเฟือน หรือวิกลจริต ใบรับรองแพทย์มีอายุที่สามารถใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้ออกใบรับรองกำหนด แต่จะต้องออกก่อนวันที่เรายื่นคำขอเป็นเวลาไม่เกิน 1 เดือน

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่

เช่นเดียวกับเอกสารในการต่อใบขับขี่ ขั้นตอนการต่อใบขับขี่จากประเภทชั่วคราว 2 ปีเป็นใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปี และการต่อใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปีก็จะแตกต่างกันออกไป ดังนี้

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ชั่วคราว 2 ปีเป็นชั่วคราว 5 ปี

เราสามารถต่ออายุใบขับขี่ได้ก่อนล่วงหน้าหลังจากถือใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 1 ปีเรียบร้อยแล้ว หากคุณขาดการต่ออายุเกิน 1 ปีขึ้นไป จะต้องผ่านการอบรม 5 ชั่วโมงและมีการทดสอบข้อเขียนใหม่ แต่หากคุณขาดการต่ออายุเกิน 3 ปีขึ้นไป จะต้องผ่านการอบรม 5 ชั่วโมง ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับขี่รถใหม่ทั้งหมด

1. จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ การมองเห็นสี สายตาทางกว้าง สายตาทางลึก ปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังจากเห็นไฟสัญญาณ
3. ออกใบอนุญาตขับรถ

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปี

เราสามารถต่อใบขับขี่ชั่วคราว 5 ปีได้ล่วงหน้าถึง 90 วัน หากขาดการต่ออายุเกิน 1 ปี จะต้องเข้าร่วมการอบรม 2 ชั่วโมงและมีการทดสอบข้อเขียนใหม่ แต่หากขาดการต่ออายุเกิน 3 ปีขึ้นไป จะต้องผ่านการอบรม 2 ชั่วโมง ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับขี่รถยนต์ใหม่ทั้งหมด

1. อบรมผ่าน e-learning บนเว็บไซต์ dlt-elearning.com
2. จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือติดต่อสำนักงานขนส่งในพื้นที่
3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ การมองเห็นสี สายตาทางกว้าง สายตาทางลึก ปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังจากเห็นไฟสัญญาณ
4. ออกใบอนุญาตขับรถ

ทำความรู้จักกับการอบรมผ่าน e-learning ตัวช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการต่อใบขับขี่

โดยปกติแล้วการต่อใบขับขี่ในยุคก่อน ผู้ต่อใบขับขี่จะต้องเดินทางไปยังสำนักงานขนส่ง รับบัตรคิว จากนั้นก็เข้าร่วมการอบรมเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมง แต่ปัจจุบันสำนักงานขนส่งมีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการต่อใบขับขี่ให้สะดวก ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการอบรมออนไลน์ผ่าน e-learning

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ในการอบรมต่อใบขับขี่ สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ โน้ตบุค แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน จากนั้นเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.dlt-elearning.com/ เพื่ออบรมออนไลน์ผ่านระบบของกรมขนส่งทางบก
2. ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด เอาไว้ใช้สำหรับการกรอกข้อมูลออนไลน์เพื่อยืนยันตัวตน
3. เวลา ใบขับขี่แต่ละประเภทก็จะมีเวลาที่ใช้ในการอบรมแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมเวลาโดยอบรมในวันที่เราสะดวก ไม่มีธุระเร่งรีบต้องไปทำ

ขั้นตอน

1. เข้าไปยังเว็บไซต์ https://www.dlt-elearning.com/ จากนั้นกดที่เมนูลงทะเบียนเข้ารับการอบรมต่อใบขับขี่
2. กรอกรายละเอียดส่วนตัวให้ครบถ้วน
3. เลือกการอบรม โดยดูจากใบขับขี่ที่เราต้องการต่ออายุ
4. รับชมคลิปวีดีโออบรมสำหรับการต่อใบขับขี่แบบออนไลน์จนจบ ห้ามปิดหน้าต่างทิ้งหรือกดข้าม เนื่องจากหลังจากคลิปวีดีโอจบเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะมีคำถามให้เราตอบด้วย

สรุปแล้ว ต่อใบขับขี่ใช้เอกสารอะไรบ้าง / อบรมผ่าน e-learning ต้องทำอย่างไร เอกสารที่ใช้ก็จะเป็นพวกเอกสารส่วนและใบรับรองแพทย์ สำหรับการอบรมผ่าน e-learning ก็สามารถทำง่ายๆ ได้ด้วยตัวเองเพียงแค่เข้าไปยังเว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบกเท่านั้น เพียงเท่านี้คุณก็สามารถต่อใบขับขี่ได้ง่ายๆ ประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานขนส่งหรือกรมขนส่งทางบกให้เสียเวลาอีกต่อไปแต่อย่างใด