เป็นหนี้บัตรกดเงินสด โดนฟ้อง ต้องรับมือยังไง?
บัตรกดเงินสด ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยหลักสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินของตน วางแผนการเงินได้ดีขึ้น หรือเป็นแหล่งเงินกู้เดียวที่สามารถเข้าถึงได้ แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ราว 25% ต่อปี ก็ถือว่าค่อนข้างเยอะ และยิ่งผิดนัดชำระนานเข้ากลายเป็นหนี้เสีย ก็ยิ่งรับมือยากเข้าไปอีก บางคนก็ถึงขั้นถูกฟ้องร้องตามลำดับ ในวันนี้เราจะพาไปดูกันว่า เป็นหนี้บัตรกดเงินสด โดนฟ้อง ต้องรับมือยังไง และมีทางออกไหนให้เลือกได้บ้าง?
บัตรกดเงินสด
บัตรที่ธนาคาร/สถาบันทางการเงินออกให้แก่ลูกค้า เพื่อนำมาใช้กดเงินสดจากตู้ ATM ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยไม่ต้องใช้การค้ำประกัน โดยจะเริ่มคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่กดเงินสดออกมาใช้ ซึ่งทางธนาคารแห่งปรเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ไม่เกิน 25% ต่อปี และสามารถชำระขั้นต่ำได้ที่ 5 – 10% ในปัจจุบันนอกจากจะนำมากดเงินสดออกมาใช้ได้แล้ว บางบัตรยังสามารถนำไปผ่อนสินค้าแบบ 0% ได้เหมือนบัตรเครดิตได้ด้วย
คดีหนี้บัตรกดเงินสด
คำถามแรก ๆ ของหลายคนที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้บัตรกดเงินสด คงไม่พ้น “เป็นหนี้เท่าไหร่ถึงจะโดนฟ้อง?” คำตอบคือ ในทางกฎหมาย หนี้ขั้นต่ำที่นำไปสู่การฟ้องร้องได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 2,000 บาท และหากผิดชำระ และไม่ตอบรับการติดต่อจากเจ้าหนี้นานเกิน 3 เดือน ก็จะไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง
และต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคดีความการผิดหนี้บัตรกดเงินสดจัดอยู่ในประเภทหนี้แพ่ง การถูกฟ้องไม่ได้แปลว่าจะติดคุก แต่หากไม่ไปศาลตามหมาย หรือเพิกเฉย เจ้าหนี้สามารถขอให้ศาลตัดสินโดยไม่ต้องไต่สวน และอาจเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้
หนี้บัตรกดเงินสดจะมีอายุความอยู่ที่ 2 ปี โดยเริ่มนับจากวันที่ผิดนัดชำระครั้งสุดท้าย หากเจ้าหนี้ไม่ได้ยื่นฟ้องภายในช่วงเวลาดังกล่าว และไม่มีการชำระเงินเพิ่มเติม หนี้อาจหมดอายุความ และคุณมีสิทธิยื่นขอยกฟ้อง แต่โดยปกติแล้วเจ้าหนี้จะทำเรื่องฟ้องร้องในช่วง 6 เดือนเป็นต้นไป
ถูกฟ้องจากหนี้บัตรกดเงินสด ต้องรับมือยังไง?
- ตรวจสอบหมายศาลให้ดี
- อ่านรายละเอียดวันนัดพิจารณาคดี
- จดชื่อเจ้าหนี้ ยอดหนี้ และศาลที่รับฟ้อง
- หากมีเวลาน้อย ควรติดต่อทนาย หรือหน่วยงานให้คำปรึกษาทางกฎหมายทันที
- เตรียมตัวไปศาล
- อย่าเพิกเฉยต่อหมายเรียกเด็ดขาด
- หากไม่ไปศาลอาจตัดสินให้เจ้าหนี้ชนะคดีทันที
- หากมีข้อโต้แย้ง เช่น คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมาย, หนี้หมดอายุความ ฯลฯ ต้องนำเสนอในการพิจารณา
- เจรจา – ไกล่เกลี่ย
- ศาลหลายแห่งเปิดให้เจรจาก่อนตัดสิน
- สามารถขอลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาผ่อน หรือแบ่งชำระแบบเหมาะสมกับรายได้
หลังศาลมีคำพิพากษาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
หากศาลตัดสินให้ชำระหนี้คืน แล้วยังไม่สามารถจ่ายได้ อาจมีผลต่อไปนี้:
- อายัดเงินเดือน: หากคุณมีรายได้เกิน 20,000 บาทต่อเดือน เจ้าหนี้สามารถขออายัดได้ไม่เกิน 30%
- ยึดทรัพย์: ทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น รถยนต์, ที่ดินว่างเปล่า อาจถูกยึดตามคำสั่งศาล
- กระทบเครดิตบูโร: หากไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จะถูกบันทึกประวัติเสีย ทำให้ขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอนาคตได้ยาก
ทางออกสำหรับคนที่ไม่พร้อมจ่าย
- เจรจากับเจ้าหนี้หลังคำพิพากษา: ขอปรับแผนผ่อนจ่ายใหม่ แม้ศาลจะตัดสินแล้วก็ตาม
- เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือหนี้ของรัฐ: เช่น โครงการคลินิกแก้หนี้ หรือไกล่เกลี่ยออนไลน์ผ่านกรมบังคับคดี
- ขอคำปรึกษาทางกฎหมายฟรี: จากสำนักงานอัยการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หรือศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่
การใช้งานบัตรกดเงินสด แม้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้ แต่ก็ต้องระวังอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เกิน 25% ต่อปีไว้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เน้นชำระคืนแบบขั้นต่ำที่อาจทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนไวเป็นเท่าตัว และหากมาถึงจุดที่โดนฟ้อง ก็ให้ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการปรับพฤติกรรมด้านการเงินใหม่หมด ให้วางแผนการเงินอย่างรัดกุมมากขึ้น รวมถึงจัดการหนี้อย่างจริงจัง ใครที่เผชิญเหตุการณ์แบบนี้อยู่ลองเริ่มต้นจากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้าโครงการแก้หนี้ที่ภาครัฐสนับสนุน ก็อาจพบทางออกที่ง่ายกว่าที่คิด