หากเรามองสังคมที่เราอยู่เป็นรูปปิรามิด เราจะพบว่าเราสามารถแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 3 แบบที่เห็นได้ชัด ๆ ก็คือ คนที่ร่ำรวยมั่งคั่งเป็นเศรษฐี คนที่พอมีพอกินอยู่กลางๆ ไม่รวยแต่ก็ไม่ยากจนอะไร และคนที่มีฐานะลำบากยากจน แต่คุณรู้หรือเปล่าว่ามีการศึกษาพบว่า คนที่อยู่ระดับกลางนั้น มีสัดส่วนที่ลดลง โดยบางคนก็ก้าวขึ้นไปอยู่ในกลุ่มคนรวย และอาจจะเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในอนาคต และก็มีบางกลุ่มคนที่พบกับความฝืดเคือง และยากจนลง
แล้วถ้าคุณเองก็ อยากรวย ต้องการที่จะก้าวหน้าก้าวขึ้นไปเป็นเศรษฐี หรือต้องการให้ชีวิตของคุณดีขึ้นกว่านี้ มาลองปรับมุมมองความคิดแบบคนรวยบ้างดีกว่ามั้ย
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป ความสบายคือสิ่งที่คนเราใฝ่ฝัน แต่ถ้าเราคิดอย่างคนรวยแล้วล่ะก็ ความเสี่ยงคือสิ่งที่เขาปรารถนา อย่างเช่นเราๆที่เป็นพนักงานกินเงินเดือนก็อาจจะคิดว่ามีเงินใช้จ่ายทุกวันก็ดีแล้ว สบายแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย แต่ในมุมกลับกัน คนรวยจะมองว่า วันนี้มีกำลังมากอยู่ก็ทำงานให้หนัก ทำงานให้มากขึ้นหน่อย ลำบากวันนี้สบายในวันหน้า หรือหากมีโอกาสเขาก็ลงทุนทำธุรกิจ แม้จะไม่มีกำไรในตอนแรกก็กัดฟันเดินหน้าต่อไป เพราะเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จแน่นอน สำหรับคนทั่ว ๆ ไปนั้น เมื่อหาเงินมาได้ก็จะใช้ซื้อหาความสุข
แต่ในมุมมองของคนรวยนั้น หากเขาจะใช้จ่ายเงินออกไป เงินก้อนนั้นต้องงอกเงยขึ้นกว่าเดิม สำหรับรถยนต์ที่นับวันราคาจะตกลงไปเรื่อย ๆ นั้น ไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่าเลยสักนิด ดังนั้นถ้าคุณอยากร่ำรวย ก่อนที่จะควักเงินออกไปจากกระเป๋า ลองถามตัวเองดูสักนิดว่าของที่จะซื้อนั้น เป็นของที่จำเป็น หรือแค่ของฟุ่มเฟือยไว้โอ้อวดคนอื่นเท่านั้นเอง
สำหรับพนักงานกินเงินเดือนทั่วๆไปอาจจะคิดว่า การได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งคือความก้าวหน้าที่เพียงพอแล้ว แต่สำหรับคนรวยนั้นกลับคิดว่า เราจะรวยได้ต่อเมื่อเราเป็นเจ้าของกิจการ และคนที่รวยนั้นเขาก็จับจุดตรงนี้ได้ว่า คนทั่วไปหวังความก้าวหน้าทางอาชีพ เขาก็เลยเปิดบริษัทฯ เปิดประตู สร้างบันไดให้คุณ ๆ ปีนป่ายขึ้นมา และคุณก็จะเป็นคนทั่วไปที่นั่งทำงานแลกเงิน ในขณะที่คนรวยใช้ปัญญาทำงานให้เขา อีกสิ่งหนึ่งที่คนรวยแตกต่างจากคนทั่วๆไปก็คือ เราอาจจะมีเพื่อนมากมายหลายคน ให้คบหาหยอกล้อกันไป แต่ไม่เหมือนอย่างที่คนรวยคิด คนรวยมักจะนำพาตัวเองไปสังคมกับคนรวย ๆ เพราะว่าความรวยจะต่อยอด และส่งเสริมให้รวยยิ่งๆขึ้นไป
ว่ากันว่าคนทั่วไปนั้น ทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนมากๆ แต่สำหรับคนรวยเขามองหางานที่ให้ความรู้กับเขา เราจึงอาจจะเคยเห็นคนบางคนเปลี่ยนงานบ่อย ทำงานแต่ละที่ไม่ถึง 3 ปีก็เปลี่ยนที บริษัทฯไหนเสนอผลตอบแทนที่ดีให้ก็ไปทำงานกับเขา ในทางตรงกันข้าม คนรวยจะมองว่างานไหนมีประโยชน์ ให้ความรู้สำหรับงานในอนาคตได้ แม้จะได้ผลตอบแทนไม่มากก็ยินดีทำ เพราะมองถึงสิ่งที่หาไม่ได้ด้วยเงินนั่นคือ ความรู้และประสบการณ์ในงานนั่นเอง
สำหรับคนทำงานทั่วๆไปนั้น พอมีรายได้จากการทำงานก็จะนำเงินไปซื้อสิ่งของที่อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ากระเป๋า รองเท้า ตามความชอบตามกระแสกันไป แต่เมื่อเราหันกลับมามองที่คนรวย เราจะเห็นว่าคนรวยมักจะไม่นำเงินไปใช้จ่ายแบบนั้น แต่เขาจะเลือกนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนต่อ เหมือนอย่างที่ Warren Buffett มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมของเขาที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 1958 หรือประมาณ 50 ปีกว่าปีก่อน ในมูลค่าเพียง 31,500 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เท่ากับ 1 ล้านบาทเท่านั้น นี่จัดเป็นตัวอย่างที่ดีของคนรวยที่รู้ค่าของเงิน และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุดคนหนึ่งเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่คนทั่วไปมองต่างมุมกับคนรวยก็คือ เรื่องการออมเงินคนทั่วไปจะมองว่า มีเงินต้องรู้จักเก็บรู้จักออม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่มีเงินออมอย่างเดียวไม่พอหรอก ลองคิดดูสิว่าดอกเบี้ยจากเงินออมนั้นไม่สามารถชนะอัตราเงินเฟ้อได้เลย ดังนั้นคนรวยจึงมองในมุมที่ต่างออกไปว่า เงินออมนั้นก็ต้องมี แต่ต้องนำเงินนั้นมาลงทุนอีกต่อหนึ่งด้วย รู้อย่างนี้แล้ว เราต้องจัดสรรเงินได้มาเป็นส่วนของเงินออม และนำบางส่วนไปลงทุนกันด้วยนะ คนรวยเขาว่าอย่างนั้นค่ะ